ตั้งแต่ AEC เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ 31 ธันวาคม 2015 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการด้านการส่งออกผลไม้สดในอินโดฯ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง การเปิด AEC ส่งผลกระทบอย่างจริงจังต่อการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศสมาชิก ดังนั้น การแข่งขันเพื่อการส่งออกผลไม้ในเขตร้อน จึงมีเพิ่มมากขึ้น
Kafi Kurnia หัวหน้าสมาคมการนำเข้า-ส่งออกผักสดและผลไม้สดอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า แม้อินโดฯ จะมีศักยภาพที่ดี แต่ปริมาณการส่งออกผลไม้ยังมีไม่มากนัก มีเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังนิยมผลไม้สดจากอินโดฯ เช่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ สเปน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง
ในปี 2015 สับปะรดเป็นผลไม้ลำดับแรกๆ ในตลาดส่งออกที่มีคุณค่ามากที่สุดของอินโดฯ ซึ่งปีนี้อินโดฯ ส่งออกสับปะรดรวมทั้งสิ้น 193,940 ตัน มูลค่า 232.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลำดับที่ 2 คือ มังคุด กล้วย และผลไม้อื่นๆ เช่น มะม่วงส้ม และทุเรียน ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า ทั่วโลกมีความต้องการสูง
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกันกับปริมาณการส่งออกและรายได้ที่สูงขึ้น ประการแรกคือ ผลไม้ของอินโดฯ มีคุณภาพค่อนข้างต่ำ เพราะเกษตรกรที่ปลูกผลไม้ส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกรรายย่อย ขาดสภาพคล่องทางการเงินที่จะลงทุนเรื่องเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูง ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยไม่มีคุณภาพ และเกษตรกรยังขาดทักษะเรียนรู้วิธีทำการเกษตรให้มีคุณภาพสูงขึ้นด้วย
ประการที่สองคือ ผลไม้ของอินโดฯ ไม่เหมาะที่จะถูกนำมากำหนดไว้ในนโยบายว่า ให้เป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของประเทศ อีกทั้งอินโดฯ ไม่ได้เป็นประเทศที่มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ด้วย
ประการที่สามคือ แม้อินโดฯ จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้เขตร้อน แต่ยังขาดการจัดเก็บและการขนส่งที่ดี รวมทั้งการจัดการที่ดี การเก็บรักษาที่ดี ให้ผลไม้และผักสดคงความสดไว้ได้นานนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
Kurnia หัวหน้าสมาคมฯ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า รัฐบาลอินโดฯ ควรจะมีบทบาทสำคัญที่จะเอาชนะสถานการณ์การส่งออกผลไม้และผักสด ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ โดยยกตัวอย่างว่า ควรจะทำตามนโยบายการส่งออกของรัฐบาลไทยและมาเลเซีย เพราะทั้งสองประเทศนี้มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถเอาชนะเงื่อนไขกฎข้อกำหนดของการส่งออก ที่คล้ายกับสิ่งที่ผู้ประกอบการของอินโดฯ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้