ตัวเลขการค้าชายแดน พุ่ง! ประตูทองดูดเม็ดเงินประเทศเพื่อนบ้าน
แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศไทยจะอยู่ในช่วงชะลอตัว ตัวเลขจีดีพีของไทยเติบโตเพียง 2.5% รวมถึงการส่งออกไทยยังหดตัวถึง 5.8% แต่ถึงกระนั้น ตัวเลขการค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโตขึ้นสวนทางกับการค้าโลก เนื่องจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจจีดีพีเติบโตของประเทศมากกว่า 7% กลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยได้ทำการค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเน้นการค้าชายแดนเป็นส่วนใหญ่
มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 9.55% ต่อปี จากตัวเลขข้างต้นทำให้การค้าชายแดนยังคงน่าสนใจและมีความสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อเทียบกับข้อมูลการค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการค้าชายแดนมีสัดส่วนมากถึง 72% ของมูลค่าการค้าการส่งออกทั้งหมดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน นั่นหมายความว่า สินค้าไทยถึง 72% ถูกส่งออกผ่านทางชายแดน ทำให้ประตูทองคำของไทยอย่างการค้าชายแดนกลายเป็นประตูการค้าที่สำคัญอย่างมาก
สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศ (มาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา) ประกอบด้วย ยางพารา สัดส่วนร้อยละ 13.7 (80,511 ล้านบาท) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สัดส่วนร้อยละ 5.5 (32,231 ล้านบาท) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ สัดส่วนร้อยละ 5.2 (30,598 ล้านบาท)
เมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน พร้อมสร้างโอกาสและสร้างงาน สร้างรายได้ในพื้นที่ได้มีการจัดตั้งให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งกรมธนารักษ์ กองบริหารที่ราชพัสดุภูมิภาค เผยหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในเขตดังกล่าวดังนี้
1. ผู้เช่ามีสิทธินำสิทธิการเช่าไปให้เช่าช่วง หรือนำไปจัดหาประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ได้ และบรรดาสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่ผู้เช่า หรือผู้เช่าช่วงได้ปลูกสร้างขึ้นให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่า หรือผู้เช่าช่วงเว้นแต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์สาธารณะ
2. ผู้เช่ามีสิทธินำเสนิการเช่าที่ดินราชพัสดุ รวมทั้งอาคารและสิ่งปลูกสร้างของผู้เช่าไปผูกพันเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากรมธนารักษ์ แต่เมื่อดำเนินการผูกเงินกู้แล้วให้แจ้งกรมธนารักษ์ทราบ
3. ผู้เช่ามีสิทธิการเช่าระยะเวลา 50 ปี
4. ไม่นำ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และกฎหมายผังเมือง มาบังคับใช้ (ตามคำสั่ง คสช.17/02558 ลว.15 พฤษภาคม 2558)
นอกจากนี้คุณสมบัติของผู้เสนอการลงทุน ประกอบด้วย
1. นิติบุคคลตามกฎหมายไทย
2. มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
3. กรณีกิจการร่วมค้า (Joint Venture) เป็นการร่วมธุรกิจของธุรกิจมีมูลค่าจดทะเบียนรวมกันไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
4. มีผลงานที่ประสบความสำเร็จย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี หรือประสบการณ์ในการพัฒนาที่ดินในลักษณะของนิคมอย่างน้อย 1 โครงการ โดยจะเป็นผลงานหรือประสบการณ์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่เข้าร่วมธุรกิจก็ได้
ธนาคารกรุงเทพ ใส่ใจให้บริการนักลงทุนในย่านอาเซียนด้วยบริการเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน เรามีสาขาของธนาคารอยู่ในย่านอาเซียน 9 สาขาใน 10 ประเทศเพื่อให้บริการท่าน สนใจติดต่อได้ที่ศูนย์ AEC Connect ชั้น 2 สำนักธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ อีเมล: AECconnect@bbl.co.thสายด่วน 1333