จากข้อมูลโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ
ยูเอ็นอีพี ที่ระบุว่าหลายประเทศในยุโรปได้ออกมาตรการเพื่อลดปริมาณขยะพลาสติก โดยมี 3 แนวทางคือ
1. การออกกฎหมายห้ามผลิตและใช้
หรือการแบนบรรจุภัณฑ์พลาสติก
2. การเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียม
ซึ่งอาจจัดเก็บที่ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีกหรือผู้บริโภค เป็นที่นิยมในยุโรป และ
3. ผสมผสานเครื่องมือกำกับควบคุมและเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ ซึ่งรัฐทำข้อตกลงร่วมกับเอกชน แต่ก็เก็บเงินค่าถุงพลาสติกด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ รัฐบาลอิตาลีมีแผน
“green new deal” ซึ่งเป็นแผนในการสนับสนุนให้มีการปรับผังเมืองใหม่การเปลี่ยนรูปพลังงานให้ก้าวหน้าทันสมัยมากขึ้นโดยเน้นการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน
อนุรักษ์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อต่อสู้กับภัยความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ
สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลาสติกซึ่งยากต่อการย่อยสลาย
ดังนั้น
รัฐบาลอิตาลีจึงได้เสนอให้มีการใช้มาตรการภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ซึ่งเป็นการเรียบเก็บภาษีร้อยละ 0.2 ต่อ 1 กิโลกรัมของบรรจุภัณฑ์พลาสติก
ไม่ว่าจะเป็นขวด กล่อง หีบห่อสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรวมทั้งผู้บริโภคมีความสนใจตระหนักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลให้ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการจ่ายภาษี
“no tax” เลือกที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์อื่นแทน
อาทิ กระดาษ แก้ว เป็นต้น สหภาพยุโรปได้ออกมาตรการห้ามใช้ภาชนะพลาสติกประเภทใช้แล้วทิ้ง
ได้แก่จาน ช้อน ส้อม หลอดฐานลูกโปง และด้ามคอตตอนบัดที่ทำมาจากพลาสติก
โดยจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2021เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ภายในปี 2025
ขวดพลาสติกจะต้องมีส่วนประกอบของวัสดุรีไซเคิลอย่างน้อยร้อยละ 25 และภายในปี 2030
อย่างน้อยร้อยละ 30
ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากแต่ถือเป็นการสนับสนุนตลาดสำหรับวัสดุรีไซเคิล
โดยในอนาคตอาจจะมีการสนับสนุนให้สินค้าประเภทอื่น ๆ
ต้องมีการใช้ส่วนประกอบของวัสดุรีไซเคิลรวมอยู่ด้วย เช่น เครื่องแต่งกาย
อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ก่อสร้าง
โดยในขณะนี้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะจัดเก็บขยะขวดพลาสติกให้ได้ร้อยละ
90 ภายในปี 2029 โดยตัวแทนของกลุ่มสมาชิก Greenpeace Europe แสดงความคิดเห็นว่าการเริ่มต้นดังกล่าว ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
และเมื่อมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ย่อมส่งผลต่อสินค้าที่จะผลิตและส่งออกมายังอิตาลีและสหภาพยุโรป
ซึ่งผู้ส่งออกไทยในรายอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบควรมีการศึกษาข้อมูล
และเตรียมการรับมือแต่เนิ่นๆ
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของสมาพันธ์เกษตรกรแห่งชาติอิตาลี
(Coldiretti) เปิดเผยว่าชาวอิตาเลียน ร้อยละ 27
ได้หลีกเลี่ยงในการซื้อภาชนะพลาสติกประเภทใช้แล้วทิ้ง อาทิ จาน แก้ว/ช้อน ส้อม
ซึ่งภาชนะพลาสติกเหล่านี้เมื่อกลายเป็นขยะพลาสติกจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำในทะเล
และสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งชาวอิตาเลียนร้อย 68
เห็นว่าภาชนะพลาสติกควรตั้งราคาสูงเพื่อที่จะเป็นการเตือนให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมก่อนการตัดสินใจซื้อ
ซึ่งปัญหาขยะพลาสติกจะพบมากในต่างจังหวัดของอิตาลี
เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญ และขาดความรู้ ความเข้าใจ
ฝรั่งเศส เก็บเพิ่มภาษีเก็บขยะในหลุมฝังกลบ
ด้านฝรั่งเศสประเทศที่มีการรีไซเคิลพลาสติกประมาณ
25% แต่ความพยายามที่จะลดการใช้พลาสติกก็ยังไม่เพียงพอ รัฐบาลฝรั่งเศสมองว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้
กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งฝรั่งเศสแถลงถึงการวางแผนเสนอมาตรการใหม่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้บรรจุภัณฑ์ทำจากพลาสติกที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
หรือที่เรียกว่า “การรีไซเคิล” (recycle)
มาตรการใหม่นี้คาดว่าจะทำให้ได้ภายในปี
พ.ศ.2568 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มภาษีเก็บขยะในหลุมฝังกลบ
รวมถึงตัดลดภาษีสำหรับวัสดุที่ผ่านการรีไซเคิล
และพลาสติกที่ไม่มีการรีไซเคิลจะเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ทำจากพลาสติกรีไซเคิลอาจเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
10%
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ยังใช้พลาสติกไม่ผ่านการรีไซเคิลอาจจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
10%
มาตรการนี้จึงเป็นความหวังในการแก้ปัญหาการเพิ่มขึ้นของพลาสติกจำนวนมหาศาลที่กำลังกระจายเข้าสู่มหาสมุทร และเชื่อว่าการกำหนดมาตรการดังกล่าวจะทำให้ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากเกินได้ ทั้งนี้ มีรายงานว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% และส่วนใหญ่ก็เป็นบรรจุภัณฑ์
ไทยชูแนวคิด BCG Model ลดภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ
สำหรับประเทศไทยกับการจัดการขยะพลาสติก โดยคณะรัฐมนตรี
(ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับเงินได้เป็นจำนวน 25%
ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ
และได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1
ม.ค.62 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.64
ทั้งนี้ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพดังกล่าว
เป็นหนึ่งในมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของกระทรวงการคลัง
นอกเหนือจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน
ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ชุมชนดูแลรักษาป่าและสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ป่าชุมชนอย่างเหมาะสม
โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัท
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน
สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565
เห็นได้ชัดว่าเรื่องขยะพลาสติกไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับธุรกิจอีกต่อไป
แต่มีแนวโน้มที่หลายๆ
ประเทศจะออกมาตรการด้านภาษีทั้งการจูงใจให้ลดใช้และมาตรการบังคับใช้
รวมทั้งมาตรการทางเศรษฐศาสตร์คือการเก็บภาษีการใช้พลาสติกอีกด้วย
ดังนั้นธุรกิจควรปรับตัวเสียแต่เนิ่นๆ
ล่าสุดมีการนำแนวคิด BCG Model คือ B (Bio Economy) หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ, C (Circular Economy) หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน และ G (Green Economy) หรือ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งนี้คือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศระยะยาวหรือ ไทยแลนด์ 4.0 ที่นำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทุกมิติ เร่งเศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดบนฐานการพัฒนายั่งยืน