ในยุคเกษตรกรรม
ชาวไทยจะปลูกข้าวเป็นหลัก เป็นอาชีพที่ชาวนาไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ จากพ่อค้าคนกลางมาโดยตลอด
โดยชาวนาไม่มีโอกาสได้กำหนดราคาขึ้นมาเอง ทำให้ผู้ประกอบอาชีพทำนามีฐานะยากจนอย่างต่อเนื่อง ชาวนาไทยส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจน
ยุคไทยแลนด์ 4.0 อาจไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป จริงหรือไม่ ไปดูกลุ่มเกษตรกรชาวบ้านทับประดู่ ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ. สระแก้ว พวกเขาทำอย่างไรจึงหายจากความจน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากชาวนาที่ล้มลุกคลุกคลาน
กลายเป็นผู้มีรายได้ที่มั่นคง
‘กิตติศักดิ์
พิมพิลา’ อายุ 50 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 203 หมู่ 10 บ้านทับประดู่ ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.
สระแก้ว ถือว่าเป็น สมาร์ท ฟาร์ม อีกหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด จากโครงการจัดสรรงบประมาณให้เกษตรกรเพื่อการลงทุนประกอบอาชีพผ่านโครงการต่างๆหลังจากนั้น
‘กิตติศักดิ์’ ได้เขียนโครงการเพื่อการลงทุนและกู้ยืนเงินทุนเบื้องต้น 30,000 บาท ขุดสระน้ำ เพื่อปลูกพืชสวนครัว,เลี้ยงปลา
และฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อ เพื่อเชิงพาณิชย์จนลืมตาอ้าปากได้ เขาเล่าว่า
“แต่เดิมครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
แต่ประสบปัญหาภัยแล้งเกือบทุกปี หากปีใดทำนาได้ผลบ้างจะประสบปัญหาข้าวราคาตกต่ำ
ต่อมาเมื่อปี 2560 ทางรัฐบาลได้มีโครงการ เงินช่วยเหลือเกษตรกร ให้กู้ยืมผ่านโครงการต่างๆ
จากนั้นจึงได้จัดทำโครงการ ปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงโค โดยกู้เงินมาครั้งแรกจำนวน
30,000 บาท นำมาเป็นทุน ในการขุดสระน้ำ
จัดหาพันธุ์พืชมาปลูก และหาพันธุ์ปลามาเลี้ยง”
หลังจากนำเงินไปใช้เป็นค่าจ้างขุดสระ ส่วนหนึ่งนำไปซื้อกิ่งพันธุ์ชะอม กับไผ่หวาน โดยปลูกชะอม จำนวน 1 ไร่ เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี สามารถเก็บยอดชะอมได้วันละไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม ไปขายได้ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท เมื่อฤดูแล้ง จะมีราคาถึงกิโลกรัมละ 400 บาท จะมีรายได้จากการขายยอดชะอมวันละ 1,000 - 4,000 บาท
ปลูกไผ่หวานจาก 5 ไร่ เป็น 15 ไร่
รายได้ครึ่งล้านต่อปี
อานิสงส์จากการขุดสระน้ำเพื่อการเกษตรครบวงจร ไม่เพียงทำให้
‘กิตติศักดิ์’ มีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปีแล้วยังสามารถปลูกชะอมและปลูกไผ่หวานสร้างรายได้ตลอดทั้งปี
จากที่ปลูกไผ่หวานจำนวน 5 ไร่ ในปีต่อมายังขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มอีก 10 ไร่
รวมเป็น 15 ไร่ สามารถเก็บหน่อขยายได้ตลอดปี โดยเก็บได้แต่ครั้งละ 200 – 250
กิโลกรัม ขายในราคากิโลกรัมละ 45-50 บาท แต่ละปีจะมีรายได้จากเก็บหน่อไม้ขาย
ประมาณ 5 แสนบาท หักต้นทุน ประมาณ 1 แสนบาท เหลือ 4 แสนบาท
กิตติศักดิ์ บอกว่า หลังจากปลูกชะอม ปลูกไผ่หวาน ได้รับความสำเร็จ ต่อมารัฐบาลได้มีโครงการโคบาลบูรพา มอบแม่พันธุ์วัว ให้กับเกษตรกรที่เข้าโครงการรายละ 5 ตัว โดยมีการบริหารจัดการในรูปของสหกรณ์ โดยตั้งชื่อว่า สหกรณ์ปศุสัตว์โคบาลบูรพา วัฒนานคร มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 1,000 คน แต่ละคนเลี้ยงประมาณ 2-3 ปีสามารถขายได้ตัวละประมาณ 25,000-30,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งการทำฟาร์มเลี้ยงวัวเนื้อไม่ค่อยยุ่งยากเพียงแต่หาหญ้ามาให้เช้า เย็น
สำหรับโครงการโคบาลบูรพา
ได้รวมกลุ่มกับสมาชิก นำมาเลี้ยงรวมกันเป็นคอกใหญ่ เพื่อผลัดเปลี่ยนสมาชิกดูแล
ปัจจุบันมีวัวทั้งสิ้น 75 ตัว และแม่พันธุ์ยังตกลูกทุกปี โดยมีข้อแม้ว่าถ้าได้ลูกเป็นตัวเมียตัวแรก จะคืนให้กับโครงการ
เพื่อนำไปแจกให้กับสมาชิกรายอื่นต่อไป
เกือบ 2 ปีหลังจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2560 มีมติอนุมัติงบฯกลางเพื่อดำเนินงานโครงการ “โคบาลบูรพา” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อจัดหาวัวและแพะ รวมทั้งการปลูกพืชอาหารสัตว์ 970 ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนงบฯจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 358 ล้านบาท ใช้สร้างคอกและบ่อน้ำ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 ปี (2560-2565) เพื่อดึงให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวในที่ดินที่ไม่เหมาะสม และช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งหันมาเลี้ยงปศุสัตว์แทน สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม
Smart Farming จุดเปลี่ยนประเทศไทย
สตาร์ทอัพด้านเกษตร การแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วม