ภาพรวมของตลาดการค้าออนไลน์ ธุรกิจการค้าในอินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเช่นเดียวกับหลายประเทศในโลก อย่างไรก็ดีด้วยปัจจัยด้านประชากรและความสามารถด้าน IT ของคนอินเดีย ทำให้การค้าออนไลน์ในอินเดียมีแนวโน้มจะขยายตัวสูงต่อเนื่อง โดยในปี 2562 อินเดียมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 600 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 40% ของประชากร ใกล้เคียงกับจีนที่มีคนใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 650 ล้านคน หรือ 48% ของประชากร ซึ่งเป็นความท้าทายที่ธุรกิจต่างชาติจะเข้ามาเริ่มบุกเบิกธุรกิจ e-Commerce ในอินเดีย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากผลผลการศึกษาจากหลายหน่วยงาน
อาทิ Brand Equity Foundation, Nasscom มีความสอดคล้องกันว่าตลาดการค้าออนไลน์ในอินเดียจะขยายตัวสูงมาก
โดยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี มีสัดส่วน 3-5% ต่อมูลค่าการค้าปลีกทั้งหมด
โดยคาดว่าในปี 2565 มูลค่าการค้าออนไลน์จะขยายตัวเป็น
1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และ 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี
2565 จากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้สมาร์ทโฟนและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมพื้นที่ในชนบท
ทั้งนี้มีมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยเฉลี่ยประมาณ
224 เหรียญสหรัฐต่อคนตํอปี โดยสินค้าหลักที่ซื้อ-ขายกันคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
(48%) ตามด้วยเสื้อผ้า (29%) ของใช้และของตกแต่งบ้าน (9%) ของใช้เด็กทารกและสินค้าความงาม
(8%)
ในขณะที่สินค้าที่นิยมนำเข้าจากต่างประเทศผ่านทางการค้าออนไลน์
ได่แก่ ของใช้ในบ้านและของตกแต่ง เครื่องประดับและนาฬิกา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา
ของใช้สำหรับเด็กทารกและของเล่น เครื่องสำอางและสินค้าเพื่อสุขภาพ
ด้านตลาดกลางออนไลน์ที่เป็นที่นิยมในอินเดีย
ได้แก่ Amazon รวมทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นอย่าง Flipkart, และ PayTM ซึ่งธุรกิจตลาดกลางเหล่านี้ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เก็บจากผู้ขายที่นำสินค้ามาขายใน
e- marketplace รวมถึงค่าโฆษณาในรูปแบบของแบนเนอร์ต่างๆ
นอกจากธุรกิจตลาดกลางแล้ว ยังมีตลาดเฉพาะทางในแต่ละกลุ่มสินค้าด้วย อาทิ ร้านขายของสด
(Bigbasket,
Grofers) สินค้าแฟชั่น (Myntra, Snapdeal) และเครื่องสำอาง
(Nykaa, Purplle)
แนวโน้มการบริโภคและโอกาสทางธุรกิจ
โดยภาพรวมแล้วพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนอินเดียในปัจจุบัน ยังใช้ไปกับการดูวีดีโอและสังคมออนไลน์
แต่ผู้ที่ใช๎โทรศัพท์มือถือเพื่อการซื้อสินค้าและบริการ กำลังเพิ่มขึ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า
5% ต่อปี โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ (55%) มีอายุ 26 – 35 ปี รองลงมาคือคนที่มีอายุ 18 –
25 ปี (35%) โดยผู้ชายมีสัดส่วนมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย
คนอินเดียส่วนใหญ่ยังคงใช้อินเทอร์เน็ตในการศึกษาสินค้าที่ตนสนใจ เปรียบเทียบกับรุ่นและยี่ห้อที่ใกล้เคียงกัน
และค้นหาข้อมูลจากผู้ที่เคยใช้สินค้าหรือบริการ
แต่ยังคงไม่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะในสินค้าที่จำเป็นต้องสัมผัส
ในขณะเดียวกันผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ยังไม่นิยมใช้บัตรเครดิต
แต่จากการที่ธุรกิจการค้าออนไลน์ที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง คือตลาดกลางสำหรับเครื่องแต่งกาย รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องสำอาง โดยเป็นที่น่าติดตามว่าบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดียกำลังก้าวเข้ามาทำธุรกิจนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัท Reliance ได้เปิดตัวตลาดออนไลน์ใหม่ชื่อ AJIO.COM ซึ่งเปิดโอกาสให้แบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายใน AJIO.COM ด้วย อาทิ MDS ของสิงคโปร์ Holster ของออสเตรเลีย และ Gizia ของตุรกี
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย
ก่อนอื่นหากเป็นผู้ค้ารายใหญ่อาจจะกล้าเสี่ยงต่อการเข้าไปลงทุนในตลาดอินเดีย
แต่สำหรับผู้ผลิตหรือแบรนด์รายย่อย คำแนะนำในขณะนี้คือ
การเข้าไปมีส่วนร่วมจำหน่ายสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ อาทิ
การเข้ามาเป็นผู้ค้าในตลาดกลางของแพลตฟอร์ม Snapdeal และ Myntra
แต่มีข้อที่ต้องทราบคือ ธุรกิจจะต้องเข้ามาจดทะเบียนธุรกิจในอินเดีย ก่อนที่จะนำไปขอรับรองและยื่นเอกสารเพื่อขอเลขผู้เสียภาษี
(Permanent Account Number: PAN) ซึ่งจะนำไปใช้ประกอบการเปิดบัญชี
และนำเลขบัญชีไปจดทะเบียนธุรกิจและขอหมายเลขผู้เสียภาษีสินค้าและบริการ (Good and Service Tax: GST) จากนั้นจึงนำหลักฐานต่างๆ
มาสมัครเป็นผู้ขายในแพลตฟอร์ม
หรืออีกวิธีที่ง่ายกว่าคือ ขายสินค้าในแพลตฟอร์ม Amazon แพลตฟอร์มยอดนิยมของคนอินเดียในกลุ่มคนรวย ซึ่งมักนิยมสินค้าแฟชั่น
เสื้อผ้า เครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์ความงาม
ก็สามารถสร้างตลาดใหม่ในอินเดียได้เช่นกัน
แหล่งอ้างอิง :
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
https://www.posist.com/restaurant-times/resources/open-cloud-kitchen-restaurant.html
https://www.mapsofindia.com/maps/india/indian-cuisine-map.html