สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงทวีปยุโรป นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมานั้น
ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งเศรษฐกิจจีน (ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย)
ตลอดจนเศรษฐกิจโลกและยูโรโซน โดยไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดความกังวลทางด้านสุขภาพเท่านั้น
แต่ยังลุกลามต่อเนื่องไปถึงความผันผวนในตลาดการเงินจากความตื่นตระหนกของนักลงทุน
รวมทั้งปัญหาด้านการค้าการขนส่ง จากความจำเป็นที่หลายประเทศจะต้องปิดเมืองหรือโรงงานผลิตยาวนานขึ้น ทำให้เครือข่ายโลจิสติกส์จีนปั่นป่วนจนส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนไปทั่วโลก เกิดปัญหาในการติดต่อสื่อสาร การเดินทางสัญจร การกักตุนสินค้าและอาหาร ตามมาอย่างที่เห็นกันในแทบทุกประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
มาตรการรับมือของอียูและผลกระทบจากโควิด-19
ที่ผ่านมารัฐบาลหลายประเทศในยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
เช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ เบลเยียม เดนมาร์ก และโปแลนด์ ต้องสั่ง ‘ล็อคดาวน์’ หรือทำการปิดประเทศชั่วคราว
ห้ามเดินทางสัญจรเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
โดยบางประเทศ เช่น เยอรมนี ฮังการี สโลวาเกีย และลิทัวเนีย
ได้ทำการปิดพรมแดนบางส่วนกับประเทศในอียูด้วยกันเอง
ซึ่งขัดกับหลักเสรีภาพในการเดินทางอันเป็นหัวใจของอียู
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้าข้ามแดน
โดยเฉพาะสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ของใช้ประจำวัน และยาอุปกรณ์ทางการแพทย์
จนทำให้ในวันที่ 17 มีนาคม
2563 อียูต้องประกาศมาตรการปิดพรมแดนภายนอกอียูทั้งหมด
ห้ามคนต่างชาติจากประเทศที่สามเดินทางเข้าอียูเป็นเวลา 30 วัน
ยกเว้นกรณีเป็นการเดินทางที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
โดยอียูหวังว่าเมื่อปิดพรมแดนภายนอกแล้ว
จะทำให้ประเทศสมาชิกอียูยกเลิกการปิดพรมแดนภายใน
ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจอียูเชื่อมโยงกับจีนสูงในหลายมิติ
การแพร่ระบาดอย่างหนักในยุโรปทำให้การผลิตและการจ้างงานหยุดชะงักชั่วคราว
ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของค่ายรถยนต์ต่างๆ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
อาทิ Volkswagen, Daimler
(Mercedes), BMW, FIAT และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมถึง 6.1% ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติของห่วงโซ่อุทานจากการที่รัฐบาลจีนปิดเมืองอู่ฮั่น
และการขาดชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตจากจีน
รวมทั้งยอดขายก็ลดลงอย่างมากจากมาตรการล็อคดาวน์ โดยมีข่าวว่าบริษัทรถยนต์หลายแห่งได้แสดงความพร้อมที่จะเปลี่ยนมาผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการมากในยุโรปในช่วงนี้ ทั้งนี้ความท้าทายสำหรับบริษัทจะอยู่ที่การผลิตสินค้าประเภทใหม่ให้ได้มาตรฐาน โดยหน่วยงานภาครัฐก็จะต้องช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องกฎระเบียบและกระบวนการ เพื่อให้การปรับเปลี่ยนการผลิตสามารถทำได้โดยเร็วและได้มาตรฐาน และเป็นทางออกหนึ่งในการช่วยประคับประคองอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปในช่วงวิกฤตนี้
ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว – การบิน
กระทบหนัก
ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวข้องของอียู
เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากวิกฤติ COVID-19 ตั้งแต่ธุรกิจโรงแรมและที่พัก
ตลอดจนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าปลีกและการขนส่ง โดยเฉพาะกิจการสายการบินในยุโรป ที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการลดหรือหยุดบินชั่วคราว
จากผู้โดยสารที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
จนอียูต้องตัดสินใจระงับข้อบังคับที่เรียกว่า “use-it-or-lose-it” เป็นการชั่วคราว
ซึ่งกำหนดให้สายการบินต้องบินอย่างน้อย 80% ของเที่ยวบินที่กำหนดไว้ มิฉะนั้นอาจถูกริบสิทธิ์การบินให้กับสายการบินอื่นที่ต้องการ
เพื่อช่วยเหลือไม่ให้สายการบินในยุโรปต้องนำเครื่องบินเปล่าขึ้นบิน (สถานการณ์ “Ghost flight”) ทั้งนี้ยุโรปมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวถึง
3.9 % ของ GDP และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมถึง
6.1% หรือราว
11.9 ล้านคน
ด้านสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (The International Air Transport
Association: IATA) ได้คาดการณ์ไว้ ณ วันที่ 5 มีนาคม
2563 ว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกอาจสูญเสียรายได้ถึง
113 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
(หรือเท่ากับ 103 พันล้านยูโร)
จากภาวะการณ์แพร่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งผลกระทบต่อสายการบินจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเงินทุนสำรองในการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้เพื่อรับมือวิกฤติในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปอียูประกาศว่า
จะดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและดูแลผลกระทบจาก COVID-19 ตั้งแต่การใช้มาตรการทางการคลัง
ไปจนถึงการสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน
การบริหารจัดการชายแดน เพื่อเชื่อมโยงและจัดหาและขนส่งอุปกรณ์การแพทย์
การช่วยเหลือคนอียูในต่างประเทศให้ได้กลับบ้าน การแก้ไขปัญหารถขนส่งสินค้าติดพรมแดน
เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายประเทศทำการปิดพรมแดนภายในประเทศของตนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ธนาคารกลางยุโรปอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยในช่วงที่ผ่านมามีการออกมาตรการทางการคลัง
มูลค่าประมาณ 2% ของ GDP และอัดฉีดสภาพคล่องอย่างน้อย
13% ของ GDP เพื่อพยุงเศรษฐกิจผ่านการให้เงินกู้ยืม
และชะลอการเก็บภาษี เป็นต้น มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าว ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือ
SMEs ผ่าน European Investment Fund เป็นเงิน
1 พันล้านยูโร
เพื่อให้ธนาคารสามารถสนับสนุนการรักษาสภาพคล่อง มาตรการรองรับวิกฤติ COVID-19 เป็นเงิน
3.7 หมื่นล้านยูโร
เงินจากกองทุน Structural
Funds จำนวนอีก 2.8 หมื่นล้านยูโร
เงินจากกองทุน EU
SolidarityFund จำนวน 800 ล้านยูโร
เพื่อให้ครอบคลุมถึงวิกฤติด้านสาธารณสุข
และเงินกองทุน European
Globalisation Adjustment Fund เพื่อช่วยเหลือคนตกงาน
จำนวน 179 ล้านยูโร
เพื่อชะลอการชำระหนี้ให้กับบริษัท
และผ่อนปรนเพื่อให้รัฐบาลช่วยเหลือธนาคารให้เข้าถึงเครดิต
ทั้งนี้เพื่อรักษาเอกภาพของ Single Market ในด้านการผลิต ด้านอุปทาน
และห่วงโซ่อุทาน เพื่อป้องกันระบบสาธารณสุข ระบบเศรษฐกิจ
และตลาดแรงงานอย่างเป็นระบบ
นอกจากนั้น
ธนาคารกลางยุโรปยังประกาศอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 7.5 แสนล้านยูโร
ภายใต้โครงการ “Pandamic
Emergency Purchase Programme” เพื่อเข้าซื้อหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ
(public and private
securities) ด้วยกฎระเบียบที่ยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตามท่าทีล่าสุดของคณะกรรมาธิการยุโรป รายงานว่าวิกฤติโรคระบาดอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอียูในปี 2563 ติดลบที่ -1.1% (จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 1.4%) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าความพยายามจำกัดการแพร่กระจายและควบคุมไวรัสใช้ระยะเวลาเท่าใด
ผลกระทบจากอียู
ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย
เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มการส่งออกของไทยไปอียูจะปรับลดลง
เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
ทำให้เศรษฐกิจของหลายประเทศในยุโรปหดตัวลง
โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยในภาพรวม ได้แก่ ปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
ขาดแรงงาน กฎระเบียบที่มีการเปลี่ยนแปลง มาตรการล็อคดาวน์ ที่ทำให้ความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
โดยเน้นการซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น และลดการซื้อของฟุ่มเฟือย ธุรกิจบางส่วนมีแผนปรับลดพนักงาน
รายได้ และผลกำไรโดยรวมในปีนี้ลดลง นักธุรกิจหลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศ
การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าในประเทศไทย อาทิ งานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ
และการจับคู่ธุรกิจในไทย เป็นต้น
ภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปอียูสูงและต้องจับตาผลกระทบ
ได้แก่ สินค้าเกษตรและประมง สินค้าในหมวดคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
สินค้าเกษตรและประมง ยางล้อและที่นอน เป็นต้น
นอกจากนั้นธุรกิจภาคบริการของไทยในยุโรป
เช่น ร้านอาหาร สปา ห้างสรรพสินค้า โรงแรม มีรายได้ลดไปมากจากสถานการณ์ COVID-19 และมาตรการต่างๆ
ที่ออกมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงสายการบินไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากข้อจำกัดการเดินทางหลายประการและการห้ามการเดินทาง
อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในยุโรป
ทั้งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป
ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญที่เดินทางมายังประเทศไทย คาดว่าผลของ COVID-19 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากอียูลดลง
โดยในปี 2561 ไทยมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปประมาณ 6.7ล้านคน
อีกประการคือ
สถานการณ์เช่นนี้คงส่งผลให้การเจรจาการค้าของอียูกับประเทศต่างๆ
รวมถึงการเจรจาความสัมพันธ์ในอนาคตอียู-อังกฤษ ต้องชะลอออกไปก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
โอกาสที่มากับวิกฤติ
อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ที่ประชาชนต้องกักตัวอยู่ในบ้านและกักตุนอาหาร
อาจทำให้ไทยส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารบางประเภทได้มากขึ้นในระยะสั้น เช่น ข้าว
ปลากระป๋อง อาหารปรุงสำเร็จ สิ่งปรุงรสอาหาร ผักผลไม้ มันสำปะหลัง ยางพารา
ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง
รวมถึงสินค้าเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางทางการแพทย์
ที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในยุโรปในช่วงถัดไป
รวมถึงโอกาสในระยะยาวที่อียูอาจหันไปนำเข้าสินค้าจากแหล่งอื่นนอกจากจีนและอินเดีย
เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางด้านซัพพลายเชน
แหล่งอ้างอิง : Thaieurope.net
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
ตราบที่ไม่มีวัคซีนป้องกันโควิค-19 การค้าโลกจะไม่ดีขึ้น
10 ข้อเท็จจริงที่ผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญหลังโควิด-19