การดำเนินธุรกิจด้านการก่อสร้างท่ามกลางการระบาดของ
COVID-19 นับเป็นความท้าทาย จากแนวโน้มการหดตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
การชะลอตัวของตลาด โครงการภาคเอกชนหยุดชะงัก รวมทั้งภาวะการณ์ขาดตอนของซัพพลายเชนในการจัดหาและการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง
เครื่องจักร ตลอดจนชิ้นงานต่างๆ ที่เกิดความล่าช้าในการเคลื่อนย้าย
และเวลางานที่ลดลง ในช่วงรัฐบาลประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
หรือ พรก.ฉุกเฉิน นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ธุรกิจต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่เสมอ
ทั้งยังเป็นการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นายกิตติวุฒิ ศศิวิมลพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมทัล บิวล์ดิง (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ผลิตหลังคาและโครงสร้างเหล็กคุณภาพสูง กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคในช่วง พรก.ฉุกเฉินและในจังหวัดที่มีการปิดล็อกดาวน์จากการระบาดของโควิด-19
ทำให้ไม่สามารถขนย้ายวัตถุดิบไปเพิ่มเติมในหน้าไซด์งานได้ อีกทั้งพนักงานไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติงานในสถานที่ต่างๆ
จึงไม่สามารถส่งมอบงานและเก็บเงินค่าจ้างได้ตามกำหนด
อย่างไรก็ตามธุรกิจได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อจัดส่งพนักงานลงพื้นที่ปฏิบัติงานไปแล้ว
แต่มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ เพื่อดูแลด้านที่พักและอาหารสำหรับพนักงานตามที่กำหนดไว้
ซึ่งที่ผ่านมาได้ความช่วยเหลือผ่านสินเชื่อซอฟท์โลนเข้ามาช่วยให้ธุรกิจไม่สะดุดจากปัญหาสภาพคล่องที่กำลังลดลง
จึงสามารถประคองธุรกิจและดูแลพนักงานทั้งหมดเกือบ 100 ชีวิตต่อไปได้
นายกิตติวุฒิ มีความเห็นว่า สำหรับทุกธุรกิจ
Cash flow หรือกระแสเงินสด
เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในยามวิกฤตที่ไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ตามปกติ
และไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อยาวนานเท่าใด
แต่กลับมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกวัน โดยเฉพาะการดูแลรักษาพนักงานทุกคนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดโควิด-19 เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนทั่วโลก
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ต้องปรับทั้งวิธีการคิดและกระบวนการดำเนินงาน
เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งอาจจะต้องมีการบริหารจัดการที่ต้นทุนเป็นหลัก คือการทำให้ต้นทุนหรือรายจ่ายต่ำลง
ในขณะที่คุณภาพไม่ลดตามไปด้วย อย่างเช่น
1.
การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงได้อย่างคุ้มค่า เนื่องจากมีการผลิตในปริมาณมาก
ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต และตอบโจทย์ของธุรกิจ
ณ ช่วงเวลานั้น อาทิเช่น กรณีแรงงานคนขาดแคลนหรือติดเวลาเคอร์ฟิว การสั่งงานเครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติในภาคการผลิตผ่านแอปพลิเคชั่นสามารถชดเชยส่วนนี้ได้
2.
การวางแผนในการลงทุน
ในช่วงที่ไม่เหมาะสำหรับการลงทุนที่เห็นผลช้าหรือไม่แน่นอน การวางแผนประหยัดต้นทุน
โดยชะลอการลงทุนเท่ากับ การรักษาสภาพคล่องในช่วงนั้น
3.
การจัดซื้อจัดจ้าง
ธุรกิจสามารถประหยัดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยในการดำเนินการซื้อวัตถุดิบ
การว่าจ้างผู้ผลิตชิ้นส่วน
เนื่องจากซื้อหรือว่าจ้างในปริมาณมากจึงได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น ตรงนี้อาจต้องพิจารณาตามสถานการณ์
เพราะการสต็อกสินค้าก็คือต้นทุนเช่นกัน
4.
การปรับกลยุทธ์ด้านการขนส่ง
โดยการวางแผนปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งแบบใหม่
ซึ่งเป็นวิธีการขนส่งที่ผสมผสานภายใต้การควบคุมระยะเวลาและต้นทุนที่ต่ำที่สุด
เช่น การใช้วิธีการขึ้นรูปหลังคาที่ไซด์งาน ลดการขนส่งชิ้นงานสำเร็จรูป
5. กลยุทธ์ศูนย์กระจายสินค้า การหาที่ตั้งศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
ตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ
ที่สามารถกระจายและส่งต่อไปยังจังหวัดใกล้เคียงหรือประเทศเพื่อนบ้าน
จะช่วยทำให้สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้เนื่องจากการขนส่งตรงถึงลูกค้า การมีโครงข่ายกระจายสินค้า
ทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและกระจายสินค้าไปสู่ไซด์งานหรือโรงงานของลูกค้าจะทำให้สามารถบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้ดีขึ้น
คำแนะนำเหล่านี้เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์หากสามารถนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมและสถานการณ์
เพราะเราคงไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าวิกฤตโควิด-19 จะจบลงเมื่อไหร่
และจะเป็นอย่างไรต่อไป
ดังนั้นผู้ประกอบการควรพิจารณาถึงความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้น
ตลอดจนการวางแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอนที่รายล้อม
แหล่งที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=wxieSFUI1Ew&feature=youtu.be&app=desktop
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880371