บรรทัดฐานใหม่! ความเปลี่ยนแปลงของตลาดยุโรปในยุคหลังโควิด
สหภาพยุโรปนับเป็นตลาดส่งออกที่มีมูลค่าสูงของไทย
ขณะที่ผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคจะหดตัวกว่า 7.4%
ในปี 2563 และกลับมาขยายตัว 6.1%
ในปี 2564 นอกจากนี้อัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
และตัวเลขการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สืบเนื่องจากมาตรการการเงินการคลังที่รัฐบาลจำเป็นต้องนำออกมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
สำหรับตัวเลขการค้า
คณะกรรมาธิการยุโรป คาดว่าในปี 2563 การส่งออกของอียูจะหดตัว 9-15% (คิดเป็น 282-470
พันล้านยูโร) และการนำเข้าจะลดลง 11-14% (คิดเป็น
313-398 พันล้านยูโร)
โดยภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มเครื่องจักรและยานยนต์ได้รับผลกระทบมากที่สุด
นาย Paolo Gentiloni กรรมาธิการยุโรปด้านเศรษฐกิจ
ประเมินว่าประเทศในยุโรปได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เท่ากัน
และความสามารถในการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็จะเร็วช้าต่างกันด้วย
ขึ้นอยู่ว่าแต่ละประเทศจะออกจากมาตรการล็อกดาวน์ได้เมื่อไหร่
การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมีมากน้อยเพียงใด
และสถานะทางการเงินก่อนวิกฤตเป็นอย่างไร
ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบตลาดเดียวของอียูและยูโรโซนเป็นอย่างมาก เว้นแต่ประเทศสมาชิกจะหันหน้าเข้าหากันและหาทางออกร่วมกันในระดับอียู
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
ช่วงที่ผ่านมาอียูและรัฐบาลประเทศสมาชิก
ได้ออกมาตรการการเงินการคลังเพื่อฝ่าวิกฤตโควิดแล้วหลายชุด
ทั้งเงินช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน บริษัท SMEs
และประเทศสมาชิก โดยในขณะนี้ประเทศสมาชิกอียูอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนองบประมาณการฟื้นฟูเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการยุโรป
ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.85 ล้านล้านยูโร
อาทิเช่นการออกกองทุนฟื้นฟู “Next Generation EU” จำนวน
7.5 แสนล้านยูโร โดยแบ่งเป็นเงินให้เปล่า 5 แสนล้านยูโร และเงินกู้ 2.5 แสนล้านยูโร และ กรอบงบประมาณ
Multiannual Financial Framework (MFF) จำนวน
1.1 ล้านล้านยูโร สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า
(ค.ศ.2021-2027) โดยคาดว่าน่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้แผนงบประมาณดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิกอียูทั้ง
27 ประเทศ และจะมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจอียูทั้งระบบให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้า
และกลับเข้าสู่ภาวการณ์เติบโตได้อีกครั้ง
รวมถึงเป็นบทพิสูจน์ความเป็นเอกภาพของอียูที่มักถูกวิจารณ์ว่าเริ่มอ่อนแอลง
นับจากเหตุการณ์ Brexit
บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย
แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของอียูจะไม่สู้ดีนัก
แต่อียูก็ยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย
เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่การดำเนินธุรกิจยุคหลังโควิด
ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทายดังนี้
- การลดปัจจัยความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน : ที่ผ่านมาในยุคโลกาภิวัฒน์
ภาคการผลิตโดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติต่างๆ
ต่างเน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและต้นทุนต่ำสุด
ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน อย่างไรก็ดีภายหลังห่วงโซ่อุปทานโลกเจอผลกระทบอย่างหนักจากการหยุดชะงักของการส่งออกจีนในช่วงโควิด
ประกอบกับการที่หลายประเทศออกมาตรการห้ามหรือจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และอาหาร
ทำให้หลายชาติเช่น อียู ญี่ปุ่น และสหรัฐ
ต้องทบทวนกลยุทธ์การลงทุนในห่วงโซ่อุปทานและกำลังการผลิตของตนเองใหม่
ซึ่งทำให้ในอนาคตอาจเกิดการกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน (supply chain
diversification) โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็น เช่น
เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ ให้หลากหลายขึ้นในหลายประเทศ หรือหันมาผลิตในประเทศ
รวมถึงลดการพึ่งพาคู่ค้าน้อยราย (Single line of supply chain) เพื่อลดปัจจัยความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน
มีความเป็นไปได้สูงว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ธุรกิจทั่วโลกเริ่มตระหนักว่าไม่ควรพึ่งพาประเทศหนึ่งประเทศใดจนเกินไป
และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเชื่อมโยงกับคู่ค้าต่างประเทศหลายรายขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมหลายภูมิภาค
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดกับสายการผลิต
ในขณะที่สมาพันธ์ภาคธุรกิจของยุโรป (BusinessEurope)
ออกมาเตือนว่านโยบายสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับภูมิภาคยุโรป เปรียบเสมือนดาบสองคม
เพราะจะส่งผลให้สินค้าในประเทศมีปริมาณมากเกินความต้องการ
นอกจากนั้นการปกป้องทางการค้าไม่ใช่ทางออก และอียูต้องยอมรับว่าการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังนอกภูมิภาคยุโรปของภาคธุรกิจ
เป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้
และการแสวงหาตลาดผู้บริโภคที่เกิดใหม่
พร้อมย้ำว่าการค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจอียูฟื้นตัว
โดยอียูควรเร่งทำความตกลงทางการค้ากับคู่ค้าต่างๆ เพื่อขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
เกราะกำบัง? ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตามแม้แถลงการณ์ของอียูจะสวยหรู
แต่หากส่องเนื้อในยังมีประเด็นที่ธุรกิจไทยต้องทำความเข้าใจในหลายประเด็น อาทิ ความรับผิดชอบต่อสังคมในห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แรงงาน สิทธิมนุษยชน
รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย
นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
ซึ่งได้นำเสนอแนวทางขับเคลื่อนโลกหลังโควิดในการประชุม High-Level Event on
Financing for Development in the Era of Covid-19 and Beyond ของ UN
โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโลกบนพื้นฐานของเศรษฐกิจสีเขียว
ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน และสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
สาระสำคัญของประเด็นนี้คือ
อียูยังเตรียมประกาศจะเสนอร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อบังคับให้ภาคเอกชนอียูตรวจสอบ
supply chain ของสินค้า เพื่อแสดงว่าไม่ได้มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งแวดล้อม
โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ European Green Deal และจากข้อร้องเรียนที่ว่าความต้องการสินค้าด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของโควิดนั้น
อาจมาจากการผลิตที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านแรงงาน
ดังนั้นในการดำเนินการค้ากับอียู
ผู้ประกอบการไทยจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม
แรงงาน สิทธิมนุษยชน สุขภาพและความปลอดภัย
โดยอียูมีแนวโน้มจะเพิ่มระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืนทั้งกับตัวสินค้าและกระบวนการผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรต้องติดตามข่าวคราวด้านนี้อย่างใกล้ชิด
เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจในยุคหลังโควิด ในประเด็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสังคม
สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย
โดยเข้ามาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่
โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นการก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลอีกด้วย
แหล่งที่มา : https://thaieurope.net/ กระทรวงการต่างประเทศ