ด้วยเหตุที่สหรัฐฯ ครองแท่นเบอร์ 1
ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดมาเป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ประเด็นนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการบริโภคภายในของสหรัฐ
เป็นอย่างมาก
ล่าสุดข้อมูลจากอุตสาหกรรมค้าปลีกสหรัฐฯ ระบุว่า ตลาดค้าปลีกสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายหลังจากได้มีการผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง (ล็อกดาวน์) ทำให้สถานการณ์กลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ประชาชนสหรัฐฯ ชะลอการจับจ่ายสินค้าลงจากช่วงที่มีการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้มีจำนวนผู้บริโภคไปใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เพื่อรอดูสถานการณ์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ซึ่งนั่นหมายถึงกระทบต่อผู้ค้าปลีกสหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงอย่างทางตอนใต้และทางตะวันตกของประเทศ เช่น
รัฐเทกซัส รัฐแอริโซนา และรัฐฟลอลิด้า
ซึ่งเป็นโซนที่กลับมาแพร่ระบาดรุนแรงจนผู้บริโภคเริ่มลังเลที่จะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
รวมถึงการออกไปซื้อสินค้าตามร้านค้าปลีก
พร้อมกันนี้ยังมีข้อมูลระบุอีกว่า จำนวนผู้บริโภคที่ใช้บริการห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกสหรัฐฯ เริ่มปรับลดลงร้อยละ 3 ซึ่งในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงอย่างในรัฐเทกซัส
ปรับลดลงถึงร้อยละ 12
นายชิพ เบิร์ก (Chip
Bergh) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Levi
Strauss ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าแฟชั่นระบุว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่กำลังรุนแรงขึ้นในขณะนี้ ทำให้บริษัทตัดสินใจปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในสหรัฐฯ
หลังจากที่เพิ่งจะกลับมาเปิดให้บริการเพียงไม่นาน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคตามนโยบายรัฐบาล
ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนสาขาถึง 40
สาขาที่ได้รับผลกระทบแม้ว่าจะเริ่มกลับมาเปิดให้บริการได้บ้าง
แต่ต้องการระยะเวลาสำหรับฟื้นฟูกิจการ
ไม่เพียงเท่านั้นแนวโน้มสภาพคล่องของธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ
อยู่ในภาวะวิกฤต โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีผู้ประกอบการค้าปลีก
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแบรนด์แฟชั่น เช่น G-Star, Lucky Brand และ Brooks Brother ได้ยื่นศาลล้มละลายพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายฟื้นฟูกิจการ
Chapter 11 และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก
เนื่องจากปัจจุบันมีหลายแบรนด์ประสบปัญหาขาดทุน เช่น Ann Taylor ผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์เนมสำหรับสตรีที่ขาดทุนและมีภาระหนี้สินค้าสูงถึง
1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
สัญญาณวิกฤตค้าปลีกในครั้งนี้
เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะเปราะบาง
โดยข้อมูลกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเดือนมิถุนายน 2563
ได้ปรับลดอัตราคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวร้อยละ 8 ขณะที่บริษัท Refinitive
คาดว่าอัตราการขยายตัวของค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ
4.5 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2563 ที่เคยขยายตัวร้อยละ 17.7 จากมูลค่าตลาดที่เฉลี่ย
4.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม
หลังจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดว่าจะสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้ในช่วงไตรมาส
3-4 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน
อีกทั้งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงไฮซีซั่นของการบริโภคในสหรัฐฯ เพราะเข้าสู่เทศกาลสำคัญทั้งคริสมาสต์และปีใหม่
ประเด็นนี้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศประจำไมอามี
ให้คำแนะนำว่า ผู้ประกอบการไทยที่มุ่งผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ต้องเตรียมความพร้อมโดยหันไปผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น
ชุดป้องกันเชื้อ PPE ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค
ส่วนสินค้ากลุ่มของใช้ฟุ่มเฟือย เช่น แฟชั่น เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์
อาจจะเป็นกลุ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤตค้าปลีก และผู้ผลิตควรหาตลาดทดแทนสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อส่องดูตัวเลขสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐก็กล่าวได้ว่าสินค้าบางกลุ่มก็ส่งออกติดลบเช่นกัน