สำหรับเบลเยียม
หลายท่านอาจนึกถึงช็อคโกแลตคุณภาพพรีเมียม แต่ทราบหรือไม่ว่า ประเทศเบลเยียม มีอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นรายได้หลักๆ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมอาหารเบลเยียม (Fevia) รายงานมูลค่าตลาดส่งออกอาหารและเครื่องดื่มของเบลเยียมในปี
2562 สูงถึง 27 พันล้านยูโร (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) และมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 2.5%
ประเภทของสินค้าอาหารส่งออกหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ เครื่องดื่ม
ผักและผลไม้ ธัญพืช โกโก้และสินค้าแปรรูป
ที่สำคัญมีธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอาหารที่น่าสนใจมากมาย ในปี 2561 เบลเยียมมีบริษัทตั้งใหม่กว่า 100,000 บริษัท ซึ่งเป็นการทำลายสถิติของปีก่อนๆ โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยมมาก คือ “สตาร์ทอัพด้านอาหาร” เนื่องจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่มองว่าธุรกิจอาหารสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมได้เช่นเดียวกับธุรกิจแฟชั่น โดยการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การเลือกซื้อวัตถุดิบจากท้องถิ่น และการสร้างธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นอกจาก “นวัตกรรม”
ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้บริษัทสตาร์ทอัพแล้ว
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคซึ่งต้องการ “บริโภคอย่างแตกต่าง”
ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ เห็นได้จาก megatrend เรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารปลอดสารพิษ
อาหารวีแกน อาหารพื้นถิ่น/ตามฤดูกาล และอาหารที่ไม่สร้างขยะต่อโลก (zero-waste) ทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เอื้อต่อการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพด้านอาหาร
ได้แก่
1.
ผู้ผลิตรายใหญ่เลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพ
เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กมีความยืดหยุ่นด้านห่วงโซ่อุปทาน จึงสามารถตอบโจทย์เทรนด์การเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้
โดยบริษัทใหญ่ๆ ในเบลเยียม อาทิ Carrefour
Delhaize และ Colruyt ก็ล้วนมีข้อตกลงทางธุรกิจกับหลายธุรกิจสตาร์ทอัพแล้ว
2.
ลักษณะนิสัยของชาวเบลเยียมที่นิยมเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
3. ชาวเบลเยียมรุ่นใหม่ต้องการสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองเพิ่มมากขึ้น
รวมถึงแนวโน้มของตลาดและลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น อาจเป็นองค์ประกอบที่ร่วมส่งเสริมให้เบลเยียมเป็นศูนย์กลางของสตาร์ทอัพด้านอาหาร
กรณีตัวอย่าง สตาร์ทอัพสร้างธุรกิจโดยการคิดนอกกรอบ
หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างเกี่ยวกับแนวคิดการปลูกถ่ายเซลส์เนื้อสัตว์ในห้องแล็บเพื่อผลิตเป็นเนื้อสังเคราะห์
(Cultured Meat) ให้มนุษย์ได้บริโภค ซึ่งจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าการทำปศุสัตว์ในรูปแบบเดิมและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่บริษัท “Peace of Meat” สตาร์ทอัพอาหารสัญชาติเบลเยียมยังคิดไปไกลกว่าการผลิตเนื้อสังเคราะห์
โดยเลือกทำวิจัยและผลิตไขมันสังเคราะห์จากสัตว์แทน เพราะเมื่อนำไขมันนี้ไปผสมกับเนื้อสังเคราะห์หรือโปรตีนเกษตร
ก็จะทำให้ได้อาหารที่ยิ่งมีรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์แท้
โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทก็คือเหล่าบริษัทที่ทำวิจัยเนื้อสังเคราะห์หรือผู้ผลิตโปรตีนเกษตรทั้งหลายนั่นเอง
ที่สำคัญผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าไขมันสังเคราะห์นี้ไม่มียาปฏิชีวนะปนเปื้อนแน่นอน
ตัวอย่างโมเดลธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอาหารที่นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการลดการสร้างขยะจากร้านค้าต่างๆ
ได้แก่
1) Happy
Hour Market ที่นำสินค้าที่เหลือจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาขายออนไลน์ผ่าน
E-Shop
2) Too
Good to Go แอปพลิเคชั่นเพื่อให้ผู้ใช้สามารเลือกซื้อวัตถุดิบและอาหารที่เหลือจากร้านต่างๆ
ในชุมชน โดยปัจจุบันมีผู้ใช้แอปพลิเคชั่นกว่า 25.7 ล้านคน
และมีร้านที่เข้าร่วมโครงการกว่า 53,866 ร้าน อาทิ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร
ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านเบเกอรี่ และโรงแรม
3) Mon
Cafetier ที่ให้บริการเช่าเครื่องทำกาแฟ
รวมทั้งบริการจัดส่งกาแฟออร์แกนิกที่ได้รับการรับรองการค้าที่เป็นธรรม (Fair
Trade) ถึงสมาชิกในรูปแบบรายเดือน
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจศึกษาโมเดลธุรกิจเหล่านี้อาจนำไปต่อยอดได้
เพราะภาครัฐเองก็มีการนำเสนอโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio-Circular-Green Economy: BCG) หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ
เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว
ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคต่อไป
แหล่งอ้างอิง : The Brussels Times