อย่างที่ทราบกันดีว่าทุกครั้งที่เข้าสู่ฤดูฝน
กรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม และมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ
มักเกิดสภาวะน้ำท่วมขัง หรือน้ำรอการระบาย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการตั้งคำถามว่า ในอนาคตกรุงเทพฯ จะเป็นอย่างไร จะเกิดน้ำท่วมกลายไปเป็นเมืองลอยน้ำหรือไม่
รวมถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดในอนาคต
ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา “ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ” (FutureTales Lab by MQDC) ได้ทำการศึกษาและวิจัยในเรื่องแนวโน้มของการดำรงชีวิตของคนเมือง และรูปแบบการพัฒนากรุงเทพฯ ในอนาคตว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และการใช้ชีวิตของผู้คนจะเป็นเช่นไร ร่วมกับนักวางแผนด้านการพัฒนาเมืองระดับโลกและทีมนักพัฒนาเมือง ภายใต้บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยเฉพาะในประเด็นที่คนกรุงตั้งคำถามถึงความเปราะบางของเมืองต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้น
หรือ Climate Change จึงได้ทำการศึกษาเพื่อให้เห็นถึงผลกระทบของเมืองในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น
และเพื่อที่จะมองว่าเมืองอย่างกรุงเทพฯ ในอนาคตนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
โดยผลการศึกษาได้คาดการณ์รูปแบบเมืองได้เป็น 4 สถานการณ์ ได้แก่
1. กรุงเทพฯ
เมืองสีเขียว (Green Metropolis) กรุงเทพฯ สามารถพัฒนาเป็นเมืองสีเขียวได้ หากมีการจริงจังด้านกฎหมายและการเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนเมือง
ด้วยการปรับตึกสูงให้กลายเป็นอาคารสีเขียวที่ได้รับการออกแบบอย่างดี
โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากร พลังงาน และสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพกายที่ดี รวมไปถึงสุขภาพใจที่พร้อมต่อการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
จากพื้นที่สีเขียวที่มากขึ้น จะช่วยส่งผลถึงคุณภาพอากาศที่ดีและช่วยปรับคุณภาพอากาศได้อย่างยั่งยืน
2. กรุงเทพฯ
เมืองแห่งแม่น้ำ (River City) เมื่อระดับน้ำในเมืองมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น
และพื้นดินที่อาศัยทรุดตัวลงอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้
ส่งผลให้คนต้องปรับตัวเพื่อดำรงชีวิตในภาวะน้ำที่เพิ่มขึ้น
โดยจำเป็นต้องมีนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยให้เราสามารถตั้งถิ่นฐานบนผิวน้ำได้
และก่อให้เกิดการเติบโตจนเป็นเมืองที่สามารถอยู่รอดได้แม้จะมีผืนแผ่นดินที่น้อยลง
มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้อยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างยั่งยืน เช่น ชุมชนการค้าลอยน้ำ
ที่ทำให้เกิดจุดเชื่อมต่อการเดินทาง เป็นต้น
ซึ่งถือเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับแม่น้ำ หรือการทำฟาร์มแสงอาทิตย์บนผิวน้ำ
โดยการแปลงความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านแผงโซลาร์เซลล์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า
3. กรุงเทพฯ
เมืองป้องกันมลพิษ (Indoor City) เป็นสถานการณ์ที่ไม่อยากให้เกิด เมื่อสภาพเมืองในอนาคตพังทลาย
อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น มลพิษทางอากาศที่ย่ำแย่ ยากต่อการใช้ชีวิตภายนอกอาคาร
สาเหตุอาจเกิดจากวิถีการดำเนินชีวิตที่ไม่มีการเปลี่ยนพฤติกรรม และนโยบายเมืองที่ไม่สนับสนุนต่อการเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสภาพเมืองมีฝุ่นเยอะและอากาศร้อน
คนก็จะเปิดแอร์และเก็บตัวใช้ชีวิตอยู่ในอาคารแบบปิด และเมื่อหนาวจากการเปิดแอร์
ก็จะหลบอยู่ในผ้าห่ม แทนที่จะปรับอุณภูมิแอร์ในห้องให้เหมาะสม เป็นต้น
ซึ่งการปรับตัวของเมืองภายใต้สภาวะอากาศภายนอกที่เป็นพิษ
อาจจะมีการสร้างทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร เพื่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมือง
จะถูกปกคลุมด้วยโครงสร้างที่สามารถปกป้องมลภาวะทางอากาศนอกอาคาร จากสถานการณ์นี้คาดการณ์ได้ว่า
จะเกิดความเหลื่อมล้ำแบบสุดขั้ว ทั้งในรูปแบบการเข้าถึงสิทธิ์อากาศหายใจที่สะอาด
ซึ่งควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกประเภทที่ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น
4. กรุงเทพฯ
เมืองรับมือกับภัยพิบัติ (Disaster – Resilient City) สถานการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุดในรูปแบบเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
เป็นมุมมองการพัฒนาเมืองไปพร้อมกับการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาอุทกภัยกว่า 213 ครั้ง ในช่วง 20 ปี ระหว่างปี 2532
– 2552 และในปี 2554 มีพื้นที่ประสบอุทกภัยกว่า 69.02 ล้านไร่ จากหลากหลายภัยพิบัติ
ทำให้เมืองต้องเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถช่วยรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
เช่น การปรับพื้นที่สีเขียวในหน้าแล้งเป็นพื้นที่รับน้ำในฤดูฝน รวมถึงปรับได้ทุกรูปแบบของการดำเนินชีวิต
เป็นต้น
นอกจากนี้
กรณีน้ำท่วมหรือแม้แต่ปัญหาภัยแล้ง ควรมีพื้นที่รองรับน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในเมืองหรือพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง
อีกทั้งเตรียมพื้นที่สาธารณะที่สามารถรองรับกิจกรรมต่างๆ ของผู้คน
รวมไปถึงสร้างเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของเมือง ซึ่งหากเกิดภัยพิบัติขึ้น
ยังสามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่รองรับคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
และตั้งเป็นจุดช่วยเหลือได้ในเวลาจำเป็น
ทั้งนี้ วิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมต่างๆ ของพวกเราทุกคนในปัจจุบัน ล้วนจะส่งผลให้อนาคตมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่มุมการใช้ชีวิต การอยู่อาศัย การใช้เทคโนโลยี การเดินทาง และการดูแลสุขภาพ ตลอดจนแนวโน้มของนโยบายภาพใหญ่ของภาครัฐบาล ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเราต้องเตรียมตัวในหลากหลายมิติ ดังนั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมรับมืออย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคตข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน