นับตั้งแต่ปี 2019 ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
(Renewable Energy) จากแหล่งธรรมชาตินำมาใช้แล้วไม่มีวันหมดอายุ
เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานที่เกิดจากขยะมูลฝอย ทั้งจากภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ทดแทนการใช้พลังงานจากพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน น้ำมัน
และก๊าซธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป
ที่สำคัญพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อม จากก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาระหว่างเผาไหม้ ทำให้โอโซนในบรรยากาศที่ปกคลุมโลกถูกทำลายเสียหายอย่างหนัก จนก่อให้เกิดอุณหภูมิอากาศเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ลงนามตามสนธิข้อตกลงปารีสว่าด้วยโลกร้อน
(Paris Agreement) ปี 2015 พร้อมกับมวลสมาชิกอีกกว่า 180
ประเทศ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเพื่อสร้างสมดุลให้กับโลก
ส่งผลให้แนวโน้มการพัฒนาธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็นเทรนด์ธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช่แต่เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร
หรือ Corporate Social Responsibility : CSR อีกต่อไป และกลายเป็นเทรน์ธุรกิจแห่งอนาคตอย่างแท้จริง
ซึ่งจากการศึกษาพบว่าประเทศพัฒนาแล้วต้องใช้เงินลงทุนพลังงานหมุนเวียนมีมูลค่าสูงถึง
11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ทำให้บริษัทพลังงานหลายแห่งพยายามเพิ่มการลงทุน
รองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเชื่อว่าจะสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลต่อการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทพลังงานหมุนเวียน
สำหรับนักลงทุนที่เลือกลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งพลังงานทางเลือกและพลังานหมุนเวียน
ถือว่าเป็นการลงทุนแบบยั่งยืน (Environmental,
Social and Governance : ESG) ที่คำนึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม
(ESG) เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน แต่บริษัทที่จะเข้าลงทุนจึงไม่ได้กระจุกตัวที่กลุ่มพลังงานเพียงอย่างเดียว
แต่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะลดมลพิษ เช่น
อุตสาหกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน, อุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมขนส่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด,
บริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่ช่วยประหยัดพลังงานและระบายความร้อน,
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยระบบเครือข่ายอัจฉริยะและยานพาหนะขนส่งอื่นๆ
, บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับยานยนต์ เป็นต้น
5
อันดับเทรนด์มาแรงตลาดพลังงานหมุนเวียน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังงานหมุนเวียนถือว่าเป็นเทรนด์ที่จะมาแทนที่พลังงานแบบดั้งเดิมที่น่าจับตามองในอนาคตของตลาดการค้าพลังงานโลก
แบ่งออกเป็น 5 ตลาด ประกอบด้วย
1. การก้าวสู่ตลาดพลังงานหมุนเวียนแบบเรียลไทม์
กระแสที่ไม่มีใครกล้ามองข้ามในตลาดค้าพลังงานตอนนี้ก็คือ
‘พลังงานหมุนเวียน’ ที่ถูกมองว่ายั่งยืนกว่าพลังงานจากแหล่งเดิม
(เชื้อเพลิงฟอสซิล) ซึ่งมีวันหมดไปจากโลก ขณะที่พลังงานหมุนเวียน เช่น
พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมพลังงานน้ำ
สามารถนำมาใช้โดยไม่จำกัดและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ตลาดพลังงานหมุนเวียนนั้นกำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ระบบการจัดการและซื้อขายจึงต้องปรับเปลี่ยนตาม จึงเกิดเทรนด์ของตลาดพลังงานหมุนเวียนแบบเรียลไทม์
ซึ่งถูกมองว่าเป็นทิศทางหลักในอนาคต
2. การค้าผ่านระบบอัลกอริทึมและโปรแกรมต่างๆ
เมื่อตลาดพลังงานก้าวไปสู่ระบบตลาดแบบเรียลไทม์
สิ่งที่ตามมาก็คือ ‘ข้อมูลจำนวนมหาศาล’ หรือ Big Data และการใช้ระบบอัลกอริทึม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแล้วนำมาใช้ในการตัดสินใจซื้อขาย
จากระบบเดิมที่มีข้อมูลการเพิ่มต้นทุน (Increment) เพียง 24
รอบต่อวัน และการกำหนดราคา (Cost Settlement) เป็นรายชั่วโมง
เมื่อตลาดเข้าสู่ระบบเรียลไทม์ ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นจนเมื่อถึงที่สุดแล้ว
ก็จะกลายเป็นการเพิ่มต้นทุน 288 รอบต่อวัน และการกำหนดราคาทุก 5 นาที
(ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้น 1,100%)
โดยตลาดพลังงานในยุโรปกำลังเป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้ระบบใหม่ๆ เหล่านี้ บรรดาผู้ค้าพลังงานจะตั้งค่าตัวแปรต่างๆ เช่น
ฐานราคาต่ำสุดและเพดานราคาสูงสุดในการซื้อขาย แล้วใช้ระบบคิดคำนวณตามที่ตั้งโปรแกรมไว้ออกมาเป็นกลยุทธ์การขาย
การตั้งออร์เดอร์การซื้อขายเปลี่ยนถ่ายพลังงาน ฯลฯ แล้วส่งผ่านข้อมูลเหล่านั้นด้วยซอฟต์แวร์ในกลุ่ม ETRM (Energy Trade and Risk Management) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่คำนวณและบริหารจัดการความเสี่ยงในการซื้อขายพลังงานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อลดปริมาณการใช้กำลังไฟฟ้าฐานให้น้อยที่สุด
3.
การขยายตัวของการค้าเสรีในตลาดพลังงานโลก
เมื่อแนวโน้มพลังงานดังเดิมเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วทั้งภูมิภาค
ทำให้เป้าหมายของตลาดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ประเทศที่เคยคัดค้านก็ไม่สามารถต้านกระแสแห่งอนาคตได้
จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดค้าพลังงานระหว่างประเทศ
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มประเทศเอเชีย
ไม่ว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
ต่างก็ให้ความสนใจตลาดพลังงานเสรีเช่นกัน หลายประเทศรวมทั้งไทยมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนลงทุนด้านพลังงานรูปแบบใหม่
เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า
4. การเติบโตของ Prosumer แห่งตลาดพลังงาน
ปัจจุบันจำนวนของ Prosumer หรือที่เราอาจเรียกว่าเป็น
‘ผู้บริโภคมืออาชีพ’ ในตลาดต่างๆ ทั่วโลกนั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน ผู้บริโภคประเภทนี้มีความรู้ในสินค้าที่ตัวเองซื้อเป็นอย่างดี
หลายครั้งที่พวกเขามีบทบาทในการผลิตสินค้า หรือกลายเป็นผู้ร่วมผลิต
ในตลาดพลังงานก็ไม่ต่างกัน เมื่ออุปกรณ์ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเริ่มมีราคาถูกลง
รวมถึงมีขนาดเล็กลง เช่น แผงโซลาร์เซลล์
5.
ความก้าวหน้าในการจัดเก็บและสำรองพลังงาน
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของโครงการพลังงานหมุนเวียน
ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็กหรือใหญ่ก็คือปัญหาเรื่องราคาและประสิทธิภาพของแบตเตอรี
หรืออุปกรณ์เก็บสำรองพลังงาน นักวิจัยพยายามคิดค้นว่าจะทำอย่างไรให้แบตเตอรีเก็บพลังงานเหล่านี้มีขนาดเล็ก
แต่สามารถเก็บบรรจุพลังงานได้จำนวนมาก ราคาไม่สูงเกินไป ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ตลาดพลังงานเติบโต
โดยปัจจุบันนี้เทคโนโลยีของแบตเตอรีสามารถสำรองไฟฟ้าให้ระบบกริดขนาดเล็กระดับไมโคร
โดยเป็นแหล่งไฟฟ้าสำรองในช่วงพีคหรือช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด และเป็นแหล่งเก็บพลังงานส่วนเกินในช่วงที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่ำ
พลังงานหมุนเวียนกำลังจะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานหลักในอนาคต
เป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริง รวมไปถึงหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ความร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกไปด้วย
ทำให้ภาคธุรกิจพลังงาน ไม่สามารถมองการลดโลกร้อนเป็นแค่เพียงการรณรงค์หรือกิจกรรม CSR อีกต่อไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : http://www.egatbusiness.com