โควิด 19 ไม่ใช่เพียงเป็นวิกฤต แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับหลายธุรกิจ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งหลายคนคาดไม่ถึงว่า “ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ” จะเป็นสินค้าที่ทั่วโลกต้องการอย่างมหาศาล เพราะสินค้ากลุ่มนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วโลก กระทั่งมีการคาดการณ์ว่าตลาดสินค้ากลุ่มนี้อาจจะเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ถึง 225% และที่ยิ่งไม่น่าเชื่อไปกว่านั้น คือสินค้า “ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ” จากไทยจะสามารถเข้าไปทำตลาดได้ไกลถึงประเทศรัสเซียได้สำเร็จ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ระบุว่า ตลาดน้ำยาฆ่าเชื้อทางผิวหนังของรัสเซียเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเท่าตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด
19
และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสยิ่งทำให้ตลาดนี้มีความต้องการสินค้าชนิดนี้มากขึ้น
กระทั่งเกิดปัญหาขาดแคลนสินค้า จนกระทั่งต้องมีการเพิ่มการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้นตามไปด้วย
ในส่วนการผลิตสินค้ากลุ่มนี้ ปรากฎตามข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ารัสเซีย
ระบุว่าเดือนเมษายน 2563 รัสเซียมีการผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อเพิ่มขึ้น 6 เท่า จาก
45,000 ลิตร เป็น 300,000 ลิตร โดยผู้ผลิตรายใหญ่ ประกอบด้วย Bentus
Laboratories LLC, Interbiomed LLC, Intersen LLC ไม่เพียงเท่านั้น ภายหลังจากสินค้านี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ทำให้มีผู้ผลิตสินค้ากลุ่มอื่นขอปรับกระบวนการผลิตจากที่เคยผลิตสินค้าอื่น เปลี่ยนมาผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อบางส่วน
เพื่อให้มีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น รองรับความต้องการสินค้าที่คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น
2.3 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อเพิ่มมากขึ้นแล้ว
แต่ทว่ารัสเซียก็ยังต้องนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น
โดยมีตัวเลขนำเข้าในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งสัดส่วนครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าจากเยอรมนีและจีน โดยประเภทสินค้าที่มีความนิยมนำเข้าสูงสุดเป็นแบบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบบเจล
65% รองลงมาเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ 20% ส่วนที่เหลือเป็นแบบอื่นๆ
หากวิเคราะห์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
19 ขณะนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปใส่ใจเรื่องสุขภาพ และการรักษาความสะอาดมากขึ้น
อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทยในอนาคต
ซึ่งการจะขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อไปรัสเซียนั้น
ผู้ส่งออกจำเป็นต้องตรวจสอบอัตราภาษีนำเข้าตามแต่ละพิกัดสินค้า ซึ่งเบื้องต้นจะอยู่ในอัตราประมาณ
8-10% และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดสำหรับการขึ้นทะเบียนของรัฐ ที่ใช้กับสารฆ่าเชื้อและผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่นำเข้า
โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรอาจจะขอตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้า ที่จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงาน
Rospotrebnadzor
และตรวจสอบรายละเอียดส่วนผสม เช่น ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นส่วนผสมต้องมากกว่า
15%
นอกจากนี้นิติบุคคลต้องลงทะเบียนในระบบที่เรียกว่า
EGAIS
เนื่องจากสินค้าแต่ละหน่วยต้องลงทะเบียนในฐานข้อมูลรัฐบาลกลางเพียงแห่งเดียว
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับโอกาส
ก็คือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะผู้เล่นหน้าใหม่ที่กระโดดลงชิงส่วนแบ่งตลาดสินค้านี้เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า จากเดิมมีผู้ผลิตภายในประเทศเพียง
10 ราย แต่ภายหลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 60 ราย และยังต้องติดตามสถานการณ์ด้านการตลาด
ในกรณีที่การแพร่ระบาดเชื้อโควิด 19 คลี่คลายลง หรือมีการประกาศใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด
อาจจะทำให้ปริมาณความต้องการสินค้านี้หดตัวลงได้เช่นกัน