ปฏิเสธไม่ได้ว่าการระบาดของโควิด 19
ทำให้กิจกรรมการค้า การลงทุน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง
นั่นคือช่วงที่ทั่วโลกเริ่มตื่นตระหนกและต่าง ‘ล็อคดาวน์’ ประเทศ
ขณะที่นับจากมิถุนายน 2563
ภายหลังบรรยากาศการส่งออกเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้อีกครั้ง ส่งผลทำให้การส่งออกของไทยพลอยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
โดยสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัวได้ดีและเป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออก
ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เหล็ก
เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ส่วนสินค้าเกษตรและอาหารยังคงเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง
สำหรับตลาดส่งออกสำคัญมีทิศทางทีดีขึ้นตามลำดับ โดยหลายตลาดขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป (15) และเอเชียใต้ นอกจากนี้หลายตลาดส่งสัญญาณฟื้นตัว อาทิ ตลาด CLMV ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ที่กลับมาขยายตัว รวมถึงตะวันออกกลาง (15) และอาเซียน (5) ที่หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อนมาก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
รองเท้าแตะสินค้าดาวรุ่งส่งออกติดอันที่
8 ของโลก
‘รองเท้าแตะ’ เป็นอีกหนึ่งในสินค้าส่งออกของไทยที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ยอดการส่งออกรองเท้าแตะของไทยไปตลาดต่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะรองเท้าแตะกลุ่มที่ทำจากยางพาราหรือพลาสติก ปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่
8 ของโลก รองจาก จีน สหภาพยุโรป เวียดนาม ตุรกี สหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย และบราซิล
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมรองเท้าแตะของไทย
ได้แก่ คุณภาพมาตรฐานสินค้าที่ได้รับการยอมรับ ประกอบกับความได้เปรียบด้านต้นทุน
เนื่องจากสามารถหาวัตถุดิบในการผลิต ได้แก่ เม็ดพลาสติกและยางพาราแปรรูปได้ภายในประเทศ
และมีแรงงานคุณภาพที่มีประสบการณ์
ปลดล็อกกำแพงภาษีนำเข้ารองเท้าแตะไทย
คุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (จร.) กระทรวงพาณิชย์ บอกว่ามาจากสาเหตุที่รัฐบาลไทยได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเขตการค้าเสรี
(เอฟทีเอ) กับ 18 ประเทศคู่ค้า ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู ซึ่งช่วยปลดล็อกกำแพงภาษีนำเข้าสินค้ารองเท้าแตะที่ส่งออกจากไทย
ทำให้สินค้าของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
โดย 16 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่
อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี
ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ารองเท้าแตะจากไทยทุกรายการ
ทั้งรองเท้าแตะที่ทำจากยางหรือพลาสติก รองเท้าแตะจากหนัง
และรองเท้าแตะจากวัสดุสิ่งทอ เหลือเพียงประเทศเปรู และอินเดีย
ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารองเท้าแตะจากไทย ส่วนอินเดียลดภาษีนำเข้าจาก 10%
เหลือเก็บภาษีที่ 5% และเปรูเก็บภาษีนำเข้าที่ 11% โดยการส่งออกประเทศคู่เอฟทีเอมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย
12% ต่อปี
สินค้าใช้ในชีวิตประจำวัน..ตลาดเติบโตไม่หยุด
แม้ว่าปี 2563 ส่งออกสินค้ารองเท้าแตะของไทยชะลอตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด
โดยไทยส่งออกไปตลาดคู่เอฟทีเอรวม 59 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 11% ส่วนในช่วง 2
เดือนของปี 2564 (มกราคม-กุมภาพันธ์) การส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอมีมูลค่า 10
ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 10%
แต่การส่งออกไปตลาดคู่เอฟทีเอหลายประเทศมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับที่
1 ของไทย เช่น ลาว เพิ่ม 6%, ฟิลิปปินส์ เพิ่ม 100%, เวียดนาม เพิ่ม 25%,
อินโดนีเซีย เพิ่ม 139%, มาเลเซีย เพิ่ม 66% ,การส่งออกไปตลาดอินเดียและญี่ปุ่น
ก็ขยายตัวเช่นกัน เพิ่ม 7% และ 26% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มตลาดในปี 2564 ที่เริ่มฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลก
ซึ่งในระยะยาวคาดการณ์ว่าตลาดรองเท้าแตะมีแนวโน้มเติบโตได้เพิ่มขึ้นอีก
เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัย
ปัจจุบันนอกเหนือจากการซื้อรองเท้าแตะเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานทั่วไปแล้ว
ยังสามารถพัฒนาเป็นสินค้าแฟชั่นได้อีกด้วย
รองเท้าแตะ เมด อิน ไทยแลนด์ หรือเกิบแตะ อีแตะ ตามคำเรียกทั่วๆ ไปจึงกลายเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะขยายตลาดส่งออกได้อีก
โดยเฉพาะเจาะตลาดคู่เอฟทีเอที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เต็มที่
ควบคู่กับการพัฒนาคุณภามาตรฐานสินค้า
นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยออกแบบรองเท้าให้ใส่สบายส่งผลดีต่อสุขภาพ
รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีความหลากหลายตามพฤติกรรมและสมัยนิยมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
ก็สามารถเข้าเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศได้ไม่ยาก