ยุคแห่งสินทรัพย์ดิจิทัลคงไม่มีใครไม่รู้จักกับสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างบล็อกเชน (Blockchain) อย่างแน่นอน แต่ NFT โทเคนที่นักลงทุนสายคริปโตฯ ไม่เว้นแม้แต่มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลในโลกแห่งคริปโตฯ อย่าง อีลอน มัสก์ ต่างกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ คืออะไร? และ NFT จะเหมือนหรือต่างจาก Cryptocurrency อย่างไร? ใครที่กำลังสนใจอยู่ ไม่ควรพลาดบทความนี้เด็ดขาด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โทเคน
NFT คือ อะไร?
NFT หรือ Non-Fungible Token เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทโทเคน
ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับเหรียญอื่น โดยนำผลงานบางอย่าง เช่น งานศิลปะ
การ์ตูน เพลง คลิปวิดีโอ ของสะสม เป็นต้น มายึดไว้กับเหรียญนั้น ทำให้แต่ละเหรียญมีเพียงชิ้นเดียวบนโลก
ไม่สามารถหาเหรียญอื่นมาใช้ทดแทนกันได้ ทำให้ผู้ครอบครองเหรียญนั้นเป็นเจ้าของได้แค่คนเดียว
หากมีใครลอกเลียนแบบ ก็จะสามารถตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาเจ้าของเหรียญที่แท้จริงผ่านระบบเทคโนโลยี
Blockchain ได้ทันที
ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในวงการศิลปะ เกม และกีฬา
ความแตกต่างระหว่าง
NFT และ Cryptocurrency
ทั่วไป
ในขณะที่
Cryptocurrency หรือหลายคนเรียกกันว่า
Coin จะเป็นเหรียญดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้แลกเปลี่ยนได้อย่างอิสระ
ผ่านระบบบล็อกเชนของตัวเอง แต่ละเหรียญสามารถทดแทนตามมูลค่าที่เท่ากันได้
เหมือนการที่เรามีเหรียญ 10 บาท ก็ไม่ต่างจากเหรียญ 10
บาทที่คนอื่นมีเช่นกัน ส่วน NFT โทเคนจะมีลักษณะเฉพาะ
ไม่สามารถทำซ้ำหรือทดแทนกันได้ ทำให้ NFT กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้
สำหรับผู้ที่ชอบสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ครอบครองผ่านการประมูล
จากนั้นจึงซื้อขาย NFT ผ่านระบบ Ethereum
การเติบโตของวงการศิลปะและเกม
ต้องยอมรับว่า
วงการศิลปะที่ดูจะเงียบเหงา สามารถกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกครั้งด้วย NFT ที่มาปลุกกระแสการประมูลผลงานศิลปะ
เห็นได้ชัดจากการประมูลภาพคอลลาจ Everydays : The
First 5000 Day ศิลปินชื่อ Beeple ที่ถูกขายไปในราคากว่า
2,000 ล้านบาท หรือแม้แต่ Grimes ศิลปินที่ผู้คนรู้จักจากการเป็นภรรยาของอีลอน
มัสก์เอง ก็ยังนำผลงานมาขายสร้างรายได้ราว 20 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทำเอาตลาดศิลปินต่างคึกคักขอก้าวขาเข้ามาใน NFT ด้วย
ส่วนวงการเกม
ที่เห็นเด่นสุดคงจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง CryptoPunks สร้างตัวละครสะสมไม่ซ้ำนับหมื่น โดยเก็บไว้ใน
Ethereum blockchain และ Sorare เกมฟุตบอลแฟนตาซี
ที่เน้นขายของสะสมภายในเกมที่มีอยู่จำนวนจำกัดให้ผู้เล่นได้เก็บสะสม นอกจากนี้ผู้เล่นสุดเก๋าอย่าง
SEGA ก็ประกาศตัวว่า
จะนำเกมสุดคลาสสิกของค่ายมาวางขายใหม่แบบไฉไลกว่าเดิมผ่าน NFT ร่วมกับ Double Jump Tokyo ด้วยเช่นกัน
ข้อดีของ
NFT
1) ผู้คนสามารถสนับสนุนศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์ผลงานได้โดยตรง
ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
2) มีการเก็บข้อมูลไว้เป็นประวัติว่า
ในแต่ละการซื้อขาย ใครเป็นเจ้าของบ้าง และมูลค่าเท่าไหร่
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนและเก็งกำไรกันต่อไป
3) เป็นตลาดซื้อขายทรัพย์สินในเกม
และของสะสมอื่นๆ ที่ค่อนข้างปลอดภัย
4) พิสูจน์ข้อมูลในด้านทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิบัตรได้ง่ายขึ้น
5) อาจกลายเป็นตลาดเสมือน
สำหรับซื้อขายของออนไลน์ขนาดใหญ่อีกแห่ง ที่ให้ความสะดวกสบายกว่าตลาดออนไลน์ทั่วไป
แนวโน้ม
NFT ในอนาคต
อาจจะต้องลองมองย้อนกลับไปว่า
ทำไมผู้คนถึงสนใจในตัว NFT จนภายในตลาดมีมูลค่าเบ็ดเสร็จที่ 341 ล้านบาท
เหตุผลมาจากผู้คนให้คุณค่าตามทรัพย์สินที่นำมาประมูลมากกว่าการถือครอง NFT โดยตรง ก็เหมือนกับการประมูลของทั่วไป
เพียงแต่นำมาอยู่ในช่องทางและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง NFT แม้ว่า
ณ ขณะนี้จะยังคงได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่ม เช่น เกม ศิลปะ เป็นต้น
เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ที่นำผลงานมาเสนอมักจะเป็นเพียงแค่กลุ่มเหล่านั้นก็ตาม
แต่ในอนาคตคาดว่า
NFT จะต้องเติบโตสูง โดยอาจเป็นตลาดที่กว้างขึ้น
มีสินทรัพย์ให้เลือกซื้อขายกันอย่างหลากหลาย เช่น ที่ดิน ทรัพย์สิน เป็นต้น
และอาจจะเข้าไปเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลหลักเทียบเท่าสกุลเงินดังอย่างบิตคอยน์เลยก็เป็นได้
อยู่ที่ว่าสินทรัพย์ที่จะนำมาลงใน NFT จะมีความน่าสนใจ
ดึงดูดความต้องการของผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหนกัน?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม
NFT ถึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่มาแรง
และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แพ้สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
ส่วนหนึ่งก็เพราะในแต่ละโทเคนมีคุณค่าในตัวเองสูงจากการเป็น “ของที่มีชิ้นเดียวบนโลก” นี่เอง
สำหรับท่านใดที่กำลังสนใจเจ้า NFT นี้ก็อาจจะต้องลองศึกษากันต่อไป
เพราะถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มเติบโต แต่คำพูดยอดฮิตอย่าง “การลงทุนมีความเสี่ยง
ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุน” ยังคงใช้ได้เสมอโดยเฉพาะกับสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้