จากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสม ทำให้เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงเป็นมณฑลหนึ่งในจีนที่สามารถปลูกผลไม้เมืองร้อนได้หลากหลายชนิดตลอดทั้งปี
โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ที่ผลไม้เมืองร้อนท้องถิ่นหลายชนิดเริ่มทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ทั้งมะม่วง ลิ้นจี่ และลำไย
เมืองไป่เซ่อ (Baise City) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในฐานะแหล่งปลูก ‘มะม่วง’ แหล่งใหญ่ของประเทศจีน โดยเฉพาะในอำเภอเถียนหยาง (Tianyang) และอำเภอเถียนตง (Tiandong) เป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่มีชื่อเสียงและมีสายพันธุ์มะม่วงที่หลากหลาย โดยมะม่วงไป่เซ่อจะเริ่มออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เมื่อไม่นานมานี้
รัฐบาลไป่เซ่อได้จัดแถลงข่าวการเก็บเกี่ยวและจำหน่ายมะม่วงอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นหนึ่งในมาตรการในการจัดระเบียบตลาดมะม่วงของเมืองไป่เซ่อ
เพื่อป้องกันปัญหาการเก็บผลมะม่วงอ่อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์
และเป็นการสร้างหลักประกันด้านคุณภาพ รสชาติ และความสุกของผลมะม่วงที่ออกสู่ตลาด
อีกทั้งเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองและช่วยให้ผลผลิตมะม่วงได้ราคาดี ซึ่งภาคเกษตรไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้กับผลไม้ไทยได้
มาตรการดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2558 รัฐบาลไป่เซ่อได้กำหนดวันเริ่มเก็บเกี่ยวและจำหน่ายมะม่วงสายพันธุ์หลักที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย
โดยปีนี้เมืองไป่เซ่อจะเริ่มเก็บเกี่ยวมะม่วงต้นฤดูในวันที่ 5 และ 10 มิถุนายน
2564 มะม่วงกลางฤดูระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน-12 กรกฎาคม
2564 และมะม่วงปลายฤดูตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมเป็นต้นไป
และปีนี้เป็นปีทองของมะม่วงไป่เซ่อ
คาดว่าจะมีผลผลิตมะม่วงไป่เซ่อออกสู่ตลาดมากกว่า 9 แสนตัน
ซึ่งมีปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ข้อมูลในปี 2563 พบว่า
เมืองไป่เซ่อมีพื้นที่ปลูกมะม่วง 5.54 แสนไร่ คิดเป็นสัดส่วน 27%
ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ (2.01 ล้านไร่) มีผลผลิตมากกว่า 7.7 แสนตัน
คิดเป็นสัดส่วน 28% ของผลผลิตทั้งประเทศ (ทั้งประเทศราว 2.78 ล้านตัน)
มีมูลค่าการผลิต 4,500 ล้านหยวน
โดยสายพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ Tainongn No.1, Guire
No.82, Guire No.10 และ Jinhuang
ในระหว่างปี 2559-2563 อุตสาหกรรมมะม่วงไป่เซ่อช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน 1.92 แสนคน รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมากกว่า 20,000 หยวน
รายได้เฉลี่ยต่อหัวมากกว่า 4,000 หยวน
ทำให้มะม่วงไป่เซ่อได้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมตัวอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของคนในพื้นที่
เมืองไป่เซ่อปลูก “มะม่วง” แข่งกับประเทศไทย
แต่มะม่วงไทยก็ยังมีโอกาสด้วย 3 เหตุผล
ดังนี้
1. ช่วงเวลาการออกสู่ตลาดที่คลาดกัน เป็นช่องว่างทางการตลาดที่มะม่วงไทยจะเข้ามาขยายตลาดในพื้นที่กว่างซีและกระจายสู่มณฑลอื่นได้
กล่าวคือมะม่วงไทยออกสู่ตลาดก่อนในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ขณะที่มะม่วงไป่เซ่อออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม
2. ผู้ส่งออกสามารถใช้ความได้เปรียบจากที่ตั้งของไทยที่อยู่ไม่ไกลจากกว่างซี
ส่งออกมะม่วงด้วยรถบรรทุกผ่านถนน R8 R9 และ R12 เข้าที่ด่านทางบกโหย่วอี้กวานและด่านทางบกตงซิง
หรือจะใช้รถบรรทุกต่อรถไฟที่สถานีด่งดังของเวียดนามเข้าที่ด่านรถไฟผิงเสียง
รวมทั้งการขนส่งทางทะเลจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังท่าเรือชินโจวและท่าเรือเมืองฝางเฉิงก่างได้
3. รสชาติ คุณภาพ และเนื้อสัมผัสของมะม่วงไทย
กับการที่ ‘มะม่วง’
เป็นผลไม้ที่ชาวจีนนิยมบริโภค (ทั้งแบบสดและแบบแปรรูป)
เชื่อว่ามะม่วงไทยอยู่ในใจของผู้บริโภคชาวจีนได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยไปประเทศไทยแล้วรู้สึกติดใจหลังจากได้มีโอกาสลองชิมมะม่วงไทย
ยิ่งในสถานการณ์โควิด 19 ที่ไม่สามารถเดินทางได้ปกติ
สิ่งที่ควรคำนึงสำหรับผู้ส่งออกไทยนอกจากการเลือกเส้นทางการขนส่งแล้ว
การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ที่สามารถปกป้องผลมะม่วงระหว่างการขนส่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
เนื่องจากมะม่วงเป็นผลไม้เปลือกบาง บอบช้ำง่าย จึงต้องใช้ความพิถีพิถันในการคัดเลือกบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรง
ทนทาน และมีการเจาะรูเพื่อระบายอากาศ
เพื่อป้องกันไม่ให้มะม่วงอับชื้นจนเน่าเสียได้ง่าย
ร่วมกับการใช้ระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain) เพื่อรักษาความสดใหม่ของผลมะม่วง
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกสามารถพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายมะม่วงไทยผ่าน
1. แพลตฟอร์ม e-Commerce
ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง เช่น taobao.com และ jd.com
2.
ผู้ค้ารายใหญ่ที่มีแอปพลิเคชันหรือมินิโปรแกรมบนมือถือ เช่น Pagoda ผู้ค้ารายย่อยใน WeChat
3. แพลตฟอร์มการไลฟ์สด (Live
Streaming) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยเฉพาะ Tiktok
และ Kuaishou
แหล่งอ้างอิง : ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ณ นครหนานหนิง