เรียนรู้ความสำเร็จ ‘Smart Farming’ สร้างความยั่งยืนเกษตรไทย
‘เกษตรสมัยใหม่’ หากจะสร้างความยั่งยืนไม่เพียงต้องปรับตัว ปรับทัศนคติ
และยังต้องปรับปรุงองค์ความรู้ที่มีให้ทันสมัยและสอดคล้องกับตลาดด้วย เหตุนี้เองการทำ
Smart Farming
คือการพัฒนาไปสู่อีกบริบทหนึ่งของภาคเกษตรไทยที่ต้องไปให้ถึง ‘เกษตรอัจฉริยะ’
Bangkok Bank SME จึงชวนศึกษาความสำเร็จของการทำ Smart Farming เกษตรอัจฉริยะยุคใหม่ที่ไม่ได้เป็นเพียงเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านการเพาะปลูก การบริหารจัดการ และด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่
คือ ‘Precision
Agriculture’ ช่วยให้ลักษณะการทำ Smart Farming ในอนาคต คล้ายกับการดำเนินงานในอุตสาหกรรมในแง่ที่มีการตรวจวัดค่าตัวแปรต่างๆ
เช่น ความชื้น และคุณสมบัติทางแร่ธาตุของดิน การให้น้ำ
และปุ๋ยเพื่อให้สภาพแวดล้อมต่างๆ เหมาะกับการสร้างผลผลิตต่อไร่สูงสุด ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว
ประกอบด้วย
1. Precision Planting
:
เป็นการลงเมล็ดพืชในอัตราที่แตกต่างกันในฟาร์ม โดยลงเมล็ดพืชที่ค่อนข้างหนาแน่นในพื้นที่ซึ่งดินมีคุณภาพสูง
และลงเมล็ดพืชที่มีลักษณะพันธุกรรมที่ต่างกันให้เหมาะสมต่อพื้นที่บริเวณต่างๆ
ของฟาร์ม
2. Precision Fertilizing : เป็นการให้ปุ๋ยในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของฟาร์ม ตามธาตุในดินของพื้นที่นั้นๆ
3. Precision Spraying ทำการวิเคราะห์และเน้นฉีดสารเคมีในพื้นที่มีวัชพืชหนาแน่น ทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชราว 60%
4. Precision Irrigation ระบบวิเคราะห์น้ำในดิน และสภาพอากาศ เพื่อการปล่อยน้ำให้ดินให้มีระดับความชื้นที่เหมาะสม
ทำเกษตรอัจฉริยะ
ผลผลิตเพิ่ม
หนึ่งในฟาร์มที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวใช้
คือ Jones
Enterprise
ธุรกิจฟาร์มซึ่งมีพื้นที่กว่า 58,000
เอเคอร์ในสหรัฐอเมริกา โดยได้เลือกวิธีการ Precision Planting ซึ่งใช้ multi-hybrid seed planter เพื่อแยกปลูกเมล็ดเป็น
2 แบบคือ แบบที่ใช้น้ำน้อยและแบบปกติ
การปลูกแบบดังกล่าวทำให้ผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดในฟาร์มเพิ่มขึ้น
และปัจจุบัน Jones
Enterprise อยู่ระหว่างการประเมินการใช้ Precision
Fertilizing โดย Trimble ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการเกษตรประเมินว่า
หากมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จะช่วยลดต้นทุนราว 10% และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ราว 10%
ขณะที่นวัตกรรม Smart Farming ของบริษัท CombaGroup จากสวิตเซอร์แลนด์ ได้มีการพัฒนาระบบและเทคโนโลยีการปลูกผักสลัดที่มีการเก็บเกี่ยวแบบสดใหม่
พร้อมบริโภคหรือพร้อมบรรจุในบรรจุภัณฑ์ ด้วยการใช้ระบบการปลูกพืชในโรงเรือน ประกอบด้วย
1. การปลูกพืชในอากาศ
(mobile aeroponics)
2. การจัดสรรพื้นที่
(spacing technologies)
3.
การควบคุมสภาพอากาศ (climate control)
ทำให้สามารถปลูกผักออร์แกนิก
ได้ตลอดทั้งปี โดยได้ผลผลิตถึง 800 ตันต่อปี ต่อพื้นที่ 6 ไร่
นอกจากนี้ยังสามารถลดการใช้น้ำได้ถึงร้อยละ
90 รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่าครึ่งหนึ่งของการปลูกผักแบบดั้งเดิม
และยังช่วยลดภาระด้านสิ่งแวดล้อมของระบบการผลิตอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดขั้นตอนการขนส่งและลดปริมาณของเสียที่เกิดจากการเกษตรและน้ำเสียต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผักมีความสดใหม่ รสชาติอร่อย
และสามารถเก็บรักษาได้นานยิ่งขึ้น ปัจจุบันกำลังเริ่มขยายธุรกิจในการให้บริการเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศต่างๆ
เช่น สวีเดน คูเวต และรัสเซีย
สู่ความยั่งยืนด้านเทคโนโลยีเกษตร
ปัจจุบันเกษตรกรในบ้านเราจำนวนมาก
เริ่มสนใจนำเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะเข้ามาใช้ในพื้นที่ทำการเกษตรมากขึ้น โดยเกษตรกรไทยได้รับการสนับสนุนในการเปลี่ยนผ่านมาใช้ระบบ
Smart
Farming กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้ตามที่ต้องการ
ไม่ว่าจะควบคุมปัญหาด้านสภาพแวดล้อม ดินฟ้า อากาศ ผลผลิตตามที่ต้องการ โดยจะเป็นการเพิ่มมูลค่าอย่างมากให้กับวงการเกษตรกรไทย
หนึ่งในตัวอย่างซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ได้มีการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) สำหรับฉีดพ่นสารเหลว โดยเห็นความเปลี่ยนแปลงได้จากพื้นที่แปลงนาข้าวอินทรีย์ใน
ตำบลท่าไข่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจากเดิมมีผลผลิต 200 กิโลกรัมต่อไร่
เพิ่มเป็น 600 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้เกษตรกรในจังหวัดอื่นๆ สมัครใช้บริการเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับดังกล่าว
เช่น เกษตรกรในจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และอุบลราชธานี
ตัวอย่างเกษตรกรไทยที่ทำ Smart Farming
‘ธีรพงษ์
กาญจนกันติกุล’ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท เทวดา คอร์ป สตาร์ทอัพสายยูเอวี (UAV) หรืออากาศยานไร้คนขับผู้ให้บริการโดรนด้านการเกษตรและชีวภัณฑ์
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเซอร์วิส โพรไวเดอร์ โดรนสำหรับการเกษตร กล่าวว่า
ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกข้าวภายในจังหวัดฉะเชิงเทรา ประมาณ 100 ราย โดยเริ่มเข้ามาใช้บริการโดรนเพื่อช่วยพ่นยาในแปลงข้าว ซึ่งมีพื้นที่แปลงข้าวรวมกันไม่ต่ำกว่า
3,000 ไร่ คิดค่าบริการอยู่ที่ 80-100 บาทต่อไร่
ฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ IoT
(Internet of Thing) ของ ‘พรรัตภูมิฟาร์ม’ ที่ใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ไข่และการจัดการฟาร์มไก่ไข่ระบบอัจฉริยะ
ควบคุมด้วยเทคโนโลยี IoT มีเซ็นเซอร์วัดระดับความชื้น
อุณหภูมิความเข้มของแสง และปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไก่ มีทีมเฝ้าติดตามระบบคอยตรวจสอบ
24 ชั่วโมง ช่วยให้ไข่ไก่มีคุณภาพดี มีฟองใหญ่ สดใหม่ ขายได้ราคาสูง
และระบบนี้ยังสามารถนำไปใช้กับระบบฟาร์มอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จากฟาร์ม
‘แตะขอบฟ้า’ เจ้าของฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่อย่าง ‘ปิยะ
กิจประสงค์’
ที่ใช้เทคโนโลยีน้ำหยดผสมกับเทคโนโลยี IoT มาใช้ในการทำฟาร์ม
และยังถือว่าเป็นการทำเกษตรปลอดภัย สามารถควบคุมและตรวจสอบสภาพต่างๆ ภายในฟาร์มได้อย่างแม่นยำ
กลายเป็นฟาร์มแนวหน้าของไทยอย่างครบวงจร ด้วยการลดแรงงาน ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
ในอนาคตอันใกล้
‘Smart
Farming’ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยภาคการเกษตร โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ
ช่วยเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี เพราะโลกยุคปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนจึงต้องก้าวตามให้ทันโลกไม่เว้นแม้แต่เกษตรกร
อ้างอิง : https://www.arda.or.th/