สภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก และแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังและปีหน้า
หลังจากที่ GDP ประเทศไทยหดตัว 2.6% ในไตรมาสที่
1 ปี 2564 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน
ในไตรมาสที่ 2 GDP กลับมาขยายตัวได้ที่ 7.5% เนื่องจากฐานต่ำ สืบเนื่องมาจากการล็อคดาวน์ทั่วประเทศไทยในไตรมาสที่ 2
ปีที่แล้ว โดยตัวเลขนี้ถือว่าสูงกว่าผลสำรวจใน Bloomberg (6.6%)
อย่างไรก็ดี GDP ในไตรมาสที่ 2 นี้ยังคงต่ำกว่า GDP ก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19
ราว 4%
การฟื้นตัวของการส่งออกที่แข็งแกร่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับการขยายตัวของ
GDP ในไตรมาสนี้
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศคู่ค้าต่างๆ
เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้การส่งออกสินค้าและบริการของไทยจึงปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่ 27.5%
ดีขึ้นจากที่หดตัวไป 10.5% ในไตรมาสที่ 1
ขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 31.4% สูงขึ้นจากที่ขยายตัว 1.7% ในไตรมาสก่อน
หมวดหมู่สินค้าที่ส่งออกได้ดี คือ สินค้าด้านการเกษตร
โดยเฉพาะผลไม้ไทย อาหาร ยานยนต์ กลุ่มอิเลคโทรนิคส์ กลุ่มเครื่องไฟฟ้า
และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น ชุด PPE หน้ากาก ถุงมือยาง
แต่ในระยะต่อไปหลังจากที่ได้มีการกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติในกลุ่มประเทศที่ฉีดวัคซีน
ความต้องการสินค้าโดยรวมจะลดลง ส่งผลให้ภาคส่งออกก็จะชะลอตัวลงไปด้วย
เพราะผู้คนจะเริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน และนำเงินออกไปใช้จ่ายในภาคบริการแทน เช่น
ร้านอาหาร โรงแรม โรงภาพยนตร์ การเดินทาง การท่องเที่ยว และกีฬา เป็นต้น
หากจำแนกการส่งออกตามตลาด
การส่งออกไปตลาดหลักส่วนใหญ่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 การส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ
และสหภาพยุโรปขยายตัว 30.4% และ 49.8% ตามลำดับ
ตามการส่งออกสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง
ส่วนการส่งออกไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น 29.2% ตามการเพิ่มขึ้นของการส่งออกผลไม้สด
แช่เย็นและแช่เข็ง เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นหลัก
การท่องเที่ยว:
ความพยายามที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศด้วยโครงการ Phuket Sandbox และ Samui
Plus คาดว่าจะทำรายได้ให้กับประเทศได้ไม่มากนัก โดยตั้งแต่วันที่ 1
กรกฎาคม เป็นต้นมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพียงไม่กี่หมื่นคน
ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับช่วงก่อนการระบาด
โดยทั้งปีนี้ทางเรามองว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 1 แสนคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ 1.2 ล้านคนมาก
ค่าเงินบาท: ภายใต้แรงกดดันจากปัญหาในประเทศมากมาย ค่าเงินบาทเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในภูมิภาค
โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
จากที่ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่ได้รับการชื่นชมว่าสามารถจัดการกับโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยมในปีที่แล้ว
แต่ในตอนนี้ประเทศไทยกลับถูกจัดลำดับให้เป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวจากโควิด-19
แย่ที่สุดในโลก สะท้อนจากดัชนีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (The
Nikkei COVID-19 Recovery Index) ที่ไทยได้อยู่ลำดับที่ 120
(จากจำนวนการจัดลำดับ 120 ประเทศ)
เนื่องด้วยมีคนไทยเพียง 36.6% เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก
และมีเพียง 13.6% ที่ได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็ม
ประกอบกับมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐ
ที่น่าจะไม่เพียงพอและมีความล่าช้า
ส่งผลให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบมากที่สุดในขณะนี้
ข้อจำกัดและมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของคนจำนวนหลายล้านคน
กระทบกับกว่า 40% ของประชากรในประเทศ
และมากกว่า 75% ของ GDP ไทย
แต่รัฐบาลเพิ่งประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 1 กันยายน
ที่ผ่านมา หลังจากได้มีการประเมินว่าสถานการณ์ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ
ประกอบกับการฉีดวัคซีนในเขตกรุงเทพได้ครอบคลุมกว่าร้อยละ 90 ของประชากรที่มีทะเบียนบ้านทั้งหมด
อย่างไรก็ดี
เราคาดว่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยจะสามารถควบคุมได้
แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะให้คำมั่นว่าจะเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในช่วงเดือนพฤศจิกายน
แต่เรามองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และเราคาดว่าประเทศไทยจะประสบกับการฟื้นตัวรูปแบบ W-shaped ไม่ใช่การฟื้นตัวแบบ V-shaped
เหมือนกับประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระจายวัคซีน
แม้ปัญหาด้านระบบสาธารณสุขดูจะเริ่มคลี่คลายลง
แต่เราอาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2–3 เดือน ก่อนที่สถานการณ์โรคระบาดจะเริ่มกลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยคาดว่าจะยังคงขาดดุลจนกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นเรามองว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าไปที่ระดับ 34-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ซึ่งโดยรวมค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนตัวไปอีกสักระยะ
ไม่ได้อยู่ในเทรนด์แข็งค่าเหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นโยบายการเงิน: หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทางเราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือนกันยายน
เนื่องจากในขณะนี้เศรษฐกิจไทยต้องการแรงหนุนอย่างมาก จึงยังคงเป็นปัจจัยค่าเงินบาท
และทาง ธปท.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไปอีกอย่างน้อยถึงปลายปี 2022 และเราจะจับตาดูต่อไปว่าทาง ธปท.จะมีนโยบายอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ใกล้
0% มากแล้ว
ในทางตรงกันข้ามธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดขึ้น
เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังร้อนแรง ตลาดยังคงรอสัญญาณการลด QE จากการประชุม FOMC Meeting ที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้
ท่าทีนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ
นี้คาดว่าจะกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงไปอีก
ในระยะข้างหน้าเราคาดว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะถดถอยอีกครั้งโดย
GDP ในไตรมาสที่
3 และ 4 จะหดตัว 3% และ 1.8% ตามลำดับ ทั้งนี้ตัวเลขการคาดการณ์การดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน
และขึ้นอยู่กับแนวโน้มความสำเร็จในการแจกจ่ายวัคซีนและระยะเวลาที่ใช้ในการล็อคดาวน์
ส่วนการฟื้นตัวของ GDP จะเป็นไปได้ช้ากว่าประเทศอื่น
ที่มีการจัดสรรวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และจะฟื้นกลับมาแตะระดับก่อนการระบาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565
สำหรับแนวโน้มปี 2565 เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ดังจะสังเกตได้จากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และยุโรป
ที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งหลังมีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง เราคาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้น 5% โดยมีแรงสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชน
ส่วนด้านการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย
โดยมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาราว 2 ล้านคน
แต่ก็อาจจะมากกว่านี้ได้ หากแผนการฉีดวัคซีนประสบความสำเร็จได้ดีกว่าคาด
SME ยุคโควิด: ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือ SME หลายรายมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการขายในรูปแบบออฟไลน์เป็นหลัก
เนื่องจากมีความซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่องทางออนไลน์
แต่หลังการแพร่ระบาดพฤติกรรมผู้โภคได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนหันมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
ดังนั้นเราจึงมองว่าผู้ประกอบการควรเร่งปรับตัวโดยการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการไปในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
ช่องทางออนไลน์ไม่เพียงแต่ช่วยให้รักษากลุ่มลูกค้าเดิมเอาไว้ได้
แต่ยังช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ารายใหม่มากขึ้นด้วย
เพราะตลาดออนไลน์มีพื้นที่ไม่จำกัดและมีเครื่องมือหลากหลาย ที่จะช่วยให้สินค้าและบริการเข้าถึงผู้คนที่มีความต้องการซื้อจริงๆ
ได้ นอกจากนั้นผู้ประกอบการยังสามารถทำการโปรโมทสินค้าและบริการ
รวมถึงแจ้งกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับลูกค้าเป็นจำนวนมากในเวลาพร้อมกันได้อย่างง่ายดายด้วย
นอกจากการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายแล้ว
การพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับพฤติกรรม New Normal ของผู้บริโภคก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น
ธุรกิจร้านอาหารอาจจะต้องคิดค้นพัฒนาสูตรอาหารใหม่ๆ ที่เหมาะกับการเดลิเวอรี่ หรือการนำกลับไปทานที่บ้านมากขึ้น
หรือธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อาจจะต้องนำเสนอโครงการผ่านออนไลน์แบบส่วนตัว (Virtual
Tour) เพื่อลดการพบปะกัน เป็นต้น
แนวโน้มธุรกิจจะเติบโตหลังการแพร่ระบาด
สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดีหลังจากนี้
คาดว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ
เนื่องจากผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับช่องทางออนไลน์ เช่น ธุรกิจความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เพราะหลายธุรกิจเริ่มย้ายมาอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์มากยิ่งขึ้น
และมีข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าอยู่มากมาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้ข้อมูลเหล่านั้นรั่วไหลออกไป
และธุรกิจการขายสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์
เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม จากการออกไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้ามาเป็นการสั่งของผ่านอินเทอร์เน็ต
ซึ่งมีความสะดวกสบายมากกว่า และในบางครั้งได้รับส่วนลดมากกว่าการซื้อจากหน้าร้านอีกด้วย
แต่แน่นอนครับ การที่กลุ่ม SME มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ
จากช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ทางกลุ่มลูกค้าเองก็จะมีตัวเลือกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น ทาง SME จึงต้องหาปัจจัยอื่น นอกจากราคา ในการดึงดูดลูกค้าให้อยู่กับบริษัทเราให้ได้
จึงต้องมีเรื่องการทำนวัตกรรม
สร้างความแตกต่างให้สินค้าและบริการเราไม่เหมือนเจ้าอื่นๆ ในตลาด รวมถึงการทำการตลาดเพื่อสร้างเรื่องราวของแบรนด์
(Storytelling) และทำให้ลูกค้าติดใจกับสินค้าและบริการของเรามากที่สุด
ผู้เขียน : บุรินทร์ อดุลวัฒนะ Chief Economist, Bnomics