จากขยะสิ่งทอ ผ้าเก่า สู่คำถาม ‘ธุรกิจคุณเป็นมิตรต่อโลกหรือเปล่า?’
ขยะจากสิ่งทอ เสื้อผ้าเก่าทิ้ง
ภัยร้ายที่ไม่ได้สร้างแค่ปัญหาขยะ จากข้อมูลกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ที่ระบุถึงปริมาณการผลิตเสื้อผ้าในปัจจุบันมากกว่า 150,000 ล้านชิ้นต่อปี
เมื่อเอาตัวเลขรวมของประชากรทั่วโลกโดยประมาณ 7,600 ล้านคน
จะเห็นว่าปริมาณเสื้อผ้าที่เพิ่มขึ้นต่อปี
ซึ่งเรียกว่าเกินกว่าความต้องการแท้จริงอยู่มาก
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการส่งเสริมเรื่องแฟชั่นที่ยั่งยืน
และเส้นใยที่เป็นมิตรต่อโลก
จากข้อมูลระบุอีกว่า ในกระบวนการผลิตเสื้อผ้าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึงประมาณ
1.2 พันล้านตันต่อปี และนับเป็นตัวเลขที่มากกว่า Carbon Footprint ของเที่ยวบินระหว่างประเทศและขนส่งทางทะเลรวมกัน ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาน้ำเสียถึง
20 % ของอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลกรวมกันเลยทีเดียว
World Resources Institute ได้ระบุว่า เสื้อผ้าที่ผลิตจากใยฝ้าย 1 ตัว ต้องใช้น้ำในการปลูกฝ้ายถึง 2,700 ลิตร ขณะที่เสื้อผ้าจากโพลีเอสเตอร์ หรือเส้นใยสังเคราะห์กระบวนการผลิตจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าฝ้ายถึงสองเท่า ซึ่งปริมาณพอๆ กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน 185 แห่ง ที่สำคัญเส้นใยสังเคราะห์ยังทำลายได้ยากอีกด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แบรนด์แฟชั่นกับเทรนด์รักษ์โลก
และแน่นอนว่าด้วยการที่วงการสิ่งทอ ฟอกย้อม
เสื้อผ้าสำเร็จรูป ตลอดจนสินค้าแฟชั่นต่างๆ
ถูกหยิบยกมาเป็นจำเลยในการสร้างขยะอันมหาศาล และยังปล่อยก๊าซคาร์บอนฯสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมากในแต่ละปี
ก็คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน ทำให้ที่ผ่านมาวงการแฟชั่นทั้งในและต่างประเทศต่างหยิบยกประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาเป็นจุดขายของแบรนด์เพิ่มมากขึ้น
อาทิ
PRADA แบรนด์สุดหรูจากอิตาลีอย่าง
ที่เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ๆ ที่ผลิตจากผ้าไนลอน จากพลาสติกท้องทะเล ตาข่ายจับปลา
พร้อมตั้งเป้ายกเลิกการใช้ไนลอนบริสุทธิ์
หันมาใช้วัสดุจากพลาสติกรีไซเคิลแทนในการผลิตสินค้าไลน์อื่นๆ ภายในปี 2564
H&M แบรนด์เสื้อผ้าจากสวีเดน
ซึ่งมีการนำเส้นใยออร์แกนิกมาผลิตเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ รวมทั้งการจัดกิจกรรมให้ลูกค้านำเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาค
เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตเสื้อผ้าใหม่
ตัวอย่างการปรับตัวที่เราหยิบยกมานี้
และอีกหลายกรณีที่เคยเกิดขึ้น
จะเห็นว่าแบรนด์มีการปรับตัวและใส่ใจกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากขึ้น
และจะเห็นว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา
วงการแฟชั่นหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น
‘ยั่งยืน’ ในที่นี้อาจจะไม่ใช่ความยั่งยืนของโลกหรือสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว
แต่ยังหมายรวมถึงความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจ คือการทำให้แบรนด์ สินค้าหรือบริการ
สามารถอยู่ร่วมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างกลมกลืนและไม่ส่งผลเสีย ด้วยเหตุนี้
ใครที่กำลังมองความยั่งยืนว่าเป็นเรื่องนามธรรมอย่างหนึ่ง ควรจะต้องปรับความคิดเสียแต่ตอนนี้
เพราะ Eco-Friendly กลายเป็นกระแสหลักของโลกยุคนี้ และอนาคต ซึ่งธุรกิจที่เอาแต่ถลุงทรัพยากรเพียงด้านเดียว
จนไม่ใส่ใจรอบข้าง ไม่ช้าจะหายไป
เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งผู้บริโภคจะตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และย่อมไม่เฉพาะแค่วงการสิ่งทอ
ฟอกย้อม เสื้อผ้าแฟชั่น แต่ยังเป็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ
ยานยนตร์ อาหาร เกษตรกรรม ปศุสัตว์ อสังหาฯ ท่องเที่ยว โรงแรม
หรือแม้แต่การส่งสินค้าไปต่างประเทศ ฯลฯ
ดังนั้นถึงเวลาที่ทุกธุรกิจอาจจะต้องมาทบทวนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
หากธุรกิจที่ทำอยู่ยังห่วงใยโลกไม่มากพอ และตอบคำถามที่ว่า ‘ธุรกิจคุณเป็นมิตรต่อโลกหรือเปล่า?’ ถ้าไม่ ก็ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยน
แหล่งอ้างอิง :