Bnomics | ความเสี่ยงและความหวังของเศรษฐกิจไทยปี 2565
ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโอมิครอน
จากการเปิดประเทศเป็นระยะเวลาสองเดือน ประเทศไทยมียอดนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2564 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 423,678 คน ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 268,000 คนหรือคิดเป็นสัดส่วน 72% โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากสุด มาจากประเทศเยอรมนี สหราชอาณาจักร รัสเซีย และสหรัฐฯ ตามลำดับ
แต่เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดไปทั่วโลกได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในหลายประเทศ โดยถึงแม้ผู้ป่วยสายพันธุ์นี้จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ แต่สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่ามาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยในระยะอันใกล้นี้ ส่งผลให้รัฐบาลไทยระงับการเดินทางเข้าประเทศแบบไม่ต้องกักตัว โดยมีการปิดรับลงทะเบียนชั่วคราวสำหรับระบบ Test & Go และแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ยกเว้นภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
นอกจากนั้นแล้ว ในวันที่ 7 มกราคม 2565 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยังยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนให้เข้มงวดขึ้น โดยมีการปรับเพิ่มพื้นที่โซนสีส้ม (พื้นที่ควบคุม) จาก 39 จังหวัด เป็น 69 จังหวัด แต่ยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถรับประทานอาหารในร้านอาหารได้ตามปกติ ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (พื้นที่สีฟ้า) จำนวน 8 จังหวัด อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึงเวลา 3 ทุ่ม จากเดิมที่สามารถดื่มได้ถึง 5 ทุ่ม ในส่วนของสถานศึกษา ที่ประชุมศบค. ไม่ได้พิจารณาสั่งปิด แต่มีการเพิ่มวันทำงานที่บ้าน (Work from home) อีก 14 วัน โดยไม่ได้มีการประกาศล็อกดาวน์แต่อย่างใด แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เราอาจจะเห็นมาตรการที่เข้มข้นขึ้นไปอีกในเร็ววันนี้
รูปที่ 1: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย
แหล่งที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Macrobond
โอมิครอนส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยด้วย ผ่านทางความต้องการซื้อสินค้า
จากข้อมูลของ IHS Markit ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 57.7 ในเดือนธันวาคม ลดลงจาก 58.3 ในเดือนพฤศจิกายน แต่เป็นไปตามข้อมูล Flash ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ที่ 57.8 อย่างไรก็ตามดัชนีดังกล่าวถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ซึ่งโดยปกติแล้ว หากค่าดัชนี PMI สูงกว่า 50 ชี้ว่าภาคการผลิตกำลังขยายตัว
ในยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงเหลือ 58 โดยอิตาลีมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุด ในขณะที่ฝรั่งเศสเติบโตได้ช้าที่สุด ข้อมูลเผยให้เห็นว่าปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานกำลังคลี่คลายลง โดยระยะเวลารอสินค้าโดยเฉลี่ยลดลงจนถึงระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564
PMI ของจีนปรับเพิ่มขึ้นจาก 49.9 ในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 50.9 ในเดือนธันวาคม ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ที่ราว 50.0 โดยอัตรานี้ถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เนื่องจากปัญหาโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงแล้ว การผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบปี โดยได้แรงหนุนจากแรงกดดันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง
ดัชนี PMI เฉลี่ยของอาเซียนแสดงการเติบโตใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนธันวาคม โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 52.7 เนื่องจากภูมิภาคเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบที่ได้รับจากโควิด-19
5 ประเทศจาก 7 ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีการจัดทำดัชนี PMI พบว่ากิจกรรมด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม 2564 โดยสิงคโปร์เป็นผู้นำในแง่ของการเติบโต โดยดัชนี PMI แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 58.0 ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ในอินโดนีเซียปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ส่วนประเทศอื่น ๆ อย่าง มาเลเซียและเวียดนาม มีการขยายตัวสูงขึ้นในเดือนธันวาคม โดยการฟื้นตัวดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของผลผลิตที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับปริมาณยอดการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในทางกลับกัน ภาคการผลิตของประเทศไทยหดตัวลง โดยดัชนี PMI ลดลงเหลือ 49.5 ในเดือนธันวาคม จาก 50.6 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากขยายตัวได้ดีในช่วง 2 เดือนก่อน หลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แต่ถึงแม้ว่าภาคการผลิตจะมีการเติบโตอย่างมั่นคง แต่ยังได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
รูปที่ 2: ดัชนี PMI ภาคการผลิต
แหล่งที่มา: IHS Markit, Macrobond
ความเสี่ยงสินค้าจีนทะลักเข้าไทยผ่านรถไฟลาว - จีน
นอกจากปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 แล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อย่างโครงการรถไฟลาว – จีน ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยขบวนรถไฟนี้ เชื่อมต่อระหว่างกรุงเวียงจันทน์ของลาวกับนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน
ทางรถไฟนี้มีระยะทางรวม 1,035 กม. และเป็นหนึ่งในโครงการ Belt & Road Initiative ของจีน ที่ต้องการขยายเส้นทางการเดินทางขนส่งเชื่อมต่อผู้คนใน 70 ประเทศทั่วโลกทั้งทางบกและทางทะเล
รูปที่ 3: รถไฟจีน-ลาว
แหล่งที่มา: Global Times
รูปที่ 4: ทางรถไฟสายเวียงจันทน์–บ่อเต็น
แหล่งที่มา: Radio Free Asia
รถไฟนี้สามารถวิ่งทำความเร็วขนส่งผู้โดยสารได้สูงถึง 160 - 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าหากเป็นขบวนรถไฟขนส่งสินค้าจะสามารถวิ่งได้ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งจากลาวไปจีนได้มากถึง 40 – 50% เทียบกับค่าขนส่งรูปแบบเดิม และช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากลาวไปจีนลง เหลือเพียง 1 วัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเกือบ 30 วัน ผ่านทางท่าเรือของไทย
ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วที่รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการ โดยมีผู้โดยสารเดินทางด้วยรถไฟดังกล่าวแล้วกว่า 670,000 คน ขนส่งสินค้าไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 170,000 ตัน
สินค้าที่มีการขนส่งผ่านรถไฟเส้นทางนี้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ยาง ปุ๋ย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งทอ ผัก และ ดอกไม้ เป็นต้น (อ้างอิงจากสำนักข่าว Xinhua ประเทศจีน)
การเปิดตัวของรถไฟลาว – จีนนี้ สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับเศรษฐกิจไทย ด้านโอกาส ไทยมีโอกาสในการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังจีน สินค้าส่งออกต่าง ๆ ในไทย ปกติแล้วจะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลัก มากกว่า 80% ของจำนวนสินค้าทั้งหมด โดยโครงการเส้นทางรถไฟนี้จะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง และลดความเสี่ยงจากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนสำหรับการขนส่งทางเรือได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นแล้ว ไทยอาจได้ประโยชน์ในภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากในมณฑลยูนานที่เป็นต้นทางของรถไฟสายนี้ มีจำนวนประชากรกว่า 47 ล้านคน ถ้าหาก 1% ของประชากรเหล่านี้ เดินทางมาไทยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี (อ้างอิงจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) แต่ในขณะนี้ ทางการจีนยังคงเข้มงวดกับสถานการณ์โควิด จึงทำให้อานิสงส์จากการท่องเที่ยงในเส้นทางใหม่อาจจะไม่ปรากฎในเร็ววันนี้
ส่วนทางด้านความท้าทาย แม้ว่าสินค้าไทยจะมีแนวโน้มส่งออกไปจีนได้มากขึ้น แต่สินค้านำเข้าจากจีนก็คาดว่าจะทะลักเข้ามาในไทยด้วยเช่นกัน และก่อให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจไทยในที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมเพื่อคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึง และเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
บทสรุป
โดยรวมแล้ว ในปี 2565 นี้ ปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐออกมาตรการป้องกันที่เข้มงวดขึ้นส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวได้ดีหลังมีการเปิดประเทศ ทั้งนี้ ในระยะถัดไป เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปและจับตาว่ามาตรการภาครัฐจะเข้มงวดเหมือนกับช่วงกลางปีที่แล้วหรือไม่
ส่วนการเปิดตัวรถไฟลาว – จีน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากจะมีสินค้าจากจีนไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นปริมาณมาก ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาสินค้าหรือบริการให้มีความแตกต่าง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น
แต่ทางเรา ก็เชื่อว่าปี 2565 นี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีกว่าปีที่แล้วมาก โดยทางเราคาดการณ์ว่า GDP น่าจะโตได้ถึง 4.5% ในปีนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะสั้นสั้น ยังมีความไม่แน่นอนจากสายพันธุ์โอมิครอน แต่การที่โอมิครอนไม่ได้ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง นั่นก็ชี้ว่า เราน่าจะใกล้เห็นวิกฤติโควิดใกล้จบแล้วเช่นกัน หลังจากที่ทำคนต้องปรับตัวกันอย่างหนักในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เราเชื่อว่าปีนี้ เราจะก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ผู้เขียน : บุรินทร์ อดุลวัฒนะ Chief Economist, Bnomics
ติดตามบทความวิเคราะห์ประเด็นเศรษฐกิจ เพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.bnomics.co
Facebook : https://www.facebook.com/Bnomics.co
Blockdit : https://www.blockdit.com/bnomics
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Youtube : https://www.youtube.com/bnomics
Twitter : https://twitter.com/bnomics_co