Lim Kai Seng ประธานสมาคมผู้ค้าและวัสดุก่อสร้าง เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคมต้นปีที่ผ่านมา มีการปรับขึ้นราคาเหล็กเส้นจากประมาณ 1,500 ริงกิต (384 เหรียญสหรัฐ) ต่อตัน ขึ้นราคาเป็น 2,450 ริงกิตต่อตัน
กลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาที่ได้เซ็นสัญญารับงานก่อสร้าง ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาแล้ว ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาเหล็ก ฉะนั้นวัสดุก่อสร้างที่เป็นเหล็กจะต้องอยู่ในราคาเดิม แต่หลังจากนั้นผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ เหล็กก็เริ่มปรับขึ้นราคาที่ 1,950 ริงกิต ในขณะที่วัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ราคายังคงปกติ อาทิ ปูนซีเมนต์ถุงปริมาณ 50 กิโลกรัม มีราคาอยู่ระหว่าง 12.50-13 ริงกิต ในขณะที่ทรายมีราคามากกว่า 60 ริงกิตต่อลูกบาศก์เมตร
Jerry Chan ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยของเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า สถานการณ์ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของมาเลเซียมีปัญหาขาดแคลนเหล็ก เพราะวัสดุก่อสร้างประเภทเหล็กที่แห่กันขึ้นราคานี้ ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมการก่อสร้างทั้งหมด
ปัญหาการขาดแคลนเหล็ก รวมถึงตาข่ายเหล็ก และการหล่อคอนกรีต จะส่งผลให้การส่งมอบงานล่าช้าไปด้วย เพราะราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นประมาณ 1,500 ริงกิตต่อตันในเดือนมกราคมเมื่อต้นปี จากนั้นราคาก็ขยับเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ
ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขทันที โครงการก่อสร้างต่าง ๆ จะล่าช้า และที่สำคัญคือ กลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาก่อสร้างอาจจะล้มหายตายจากไปจากวงการธุรกิจก่อสร้างก็เป็นได้ อีกทั้งราคาขายของบ้าน ที่อยู่อาศัย อาจจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1-2 หรือมากกว่านี้ต่อหากสถานการณ์เลวร้ายนี้ยังคงอยู่
ดังนั้น ภาครัฐควรเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพื่อนักลงทุนหรือผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจก่อสร้างจะได้มีสภาพคล่องตัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาด AEC