ซึ่งเรื่องนี้สมาพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ได้เปิดเผยในรายละเอียดว่า “ภาคการเกษตรของเมียนมา เป็นธุรกิจหนึ่งที่นักลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ขนเม็ดเงินมาลงทุนบ้างแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา”
ทางด้านคณะกรรมการการลงทุนและบริหารจัดการข้อมูลเมียนมา (DICA) ได้เปิดเผยให้เห็นว่า “FDI ที่ขนเม็ดเงินมาลงทุนในภาคเกษตรเมียนมานั้น มีจำนวนเพียง 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2015-2016 จากตัวเลขที่ขนเม็ดเงินมาลงทุนในเมียนมาทั้งหมดราว 9.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ”
“ในปี 2010-2011 มีเม็ดเงินจาก FDI มาลงทุนมากถึง 138.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในปี 2012-2013 ลงทุนเพียง 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013-2014 และ 39.7 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2014-2015 ต่อมาลดลงเหลือ 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015-2016 รวมแล้วนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา FDI ได้ขนเม็ดเงินมาลงทุนรวมทั้งสิ้น 215.7 ล้านเหรียญสหรัฐ”
Ye Min Aung เลขาธิการสมาพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) เปิดเผยด้วยเช่นกันว่า "ความท้าทายทางการเกษตร จะแตกต่างจากภาคธุรกิจอื่น ๆ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและโทรคมนาคมนั้น แตกต่างจากภาคเกษตรโดยสิ้นเชิง เพราะมีความก้าวหน้าไปมาก ภายใต้รัฐบาลที่ผ่านมา แต่ภาคเกษตรยังมีการลงทุนน้อย”
นักลงทุนบางคนจาก FDI เปิดเผยว่า "เกษตรกรเมียนมาพลาดเงื่อนไขที่ดีมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินและการธนาคาร เพราะมีนโยบายบางข้อที่ป้องกันไม่ให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์อันดี จากโอกาสที่เขาอาจจะได้รับ"
ในปีงบประมาณที่ผ่านมา การลงทุนในเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 7.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ คณะกรรมการการลงทุนและบริหารจัดการข้อมูลเมียนมา (DIDA) ได้เปิดเผยว่า “มีเม็ดเงิน 51 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกนำไปลงทุนในภาคเกษตร”
ขณะที่ FDI จะเน้นลงทุนไปที่ภาคธุรกิจอื่น ๆ มากกว่า เช่น การขนส่ง โรงแรมและการท่องเที่ยว การก่อสร้าง พลังงานและเหมืองแร่ เป็นต้น
ฉะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาคเกษตรในรัฐบาลใหม่ของเมียนมา จึงต้องเร่งกระตุ้นให้ภาคเกษตรเกิดการพัฒนาให้มากกว่านี้ เพื่อจะได้ดึงทุนต่างชาติ FDI ที่กระจายไปลงทุนในภาคธุรกิจอื่น ซึ่งค่อนข้างอู้ฟู้กว่า ให้หันมาลงทุนสู่ภาคเกษตรกรบ้าง ก่อนจะสายเกินไป