นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผ่านมากว่า 7 ปี การจัดเก็บภาษียังพลาดเป้า ทั้งที่ผู้มีสิทธิ์ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดาอยู่ที่ 10 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีเพียงแค่ 4 ล้านคน และการเก็บภาษีนิติบุคคลก็เป็นลักษณะเดียวกัน นั่นคือมีนิติบุคคลที่เสียภาษีไม่กี่แสนราย จากที่มีผู้ประกอบการทั้งประเทศสูงกว่า 1 ล้านราย ที่ได้ส่งจ่ายภาษีเข้ารัฐไม่เกินครึ่ง กระทรวงการคลังจึงได้สั่งให้กรมสรรพากรเร่งขยายฐานภาษีอย่างเร่งด่วน เพราะเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ายังมีอีกหลายช่องทางที่สามารถจะขยายภาษีได้อีกมาก เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้า
อีกทั้งกระทรวงการคลังยังได้ตั้งคณะกรรมการเก็บภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และบริษัทที่เป็นลักษณะนอมินีของธุรกิจท่องเที่ยวด้วย โดยมี นายประภาศ คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และยังได้เชิญหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางจัดเก็บภาษีใหม่ เช่น กรมสรรพากร กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และกรมศุลกากร
กรมสรรพากรได้ประเมินสถานการณ์ถึงสาเหตุที่ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้า ซึ่งเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า 1.4 แสนล้านบาทนั้น พบว่า อาจเกิดจากสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก การประมาณการเก็บภาษีสูงเกินเป้า ราคาน้ำมันต่ำกว่าที่คาดไว้มาก และการส่งออกนำเข้าด้วย จึงได้เร่งมอบหมายให้กรมสรรพากรเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น
แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการช้อปปิงแล้วนำใบกำกับภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาทนั้น หากกรมสรรพากรออกมาตรการนี้อีก ควรจะเพิ่มเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้สิทธิจะต้องยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ต เพื่อจูงใจให้ผู้เสียภาษีใช้ระบบเทคโนโลยีในการเสียภาษีมากขึ้น