ช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยต่างได้รับข้อมูลข่าวสารการต่อสู้กันในเวทีการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก จีนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสหรัฐฯมองว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายหลังสหรัฐฯพบว่ามียอดขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่าสูงถึง 3.75 แสนล้านดอลลาร์
ชนวนสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2561 โดย สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและส่วนประกอบเครื่องซักผ้าเป็นเวลา 3 ปี ในอัตรา 16-50% ขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์เป็นเวลา 4 ปี ในอัตรา 15-30% ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอะลูมิเนียมในอัตรา 10%
จากนั้นช่วงพฤษภาคมปีเดียวกัน สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 50,000 ล้านเหรียญ ในอัตรา 25% โดยสินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่ ประกอบด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล อุปกรณ์การขนส่ง ยานพาหนะ
ด้านจีน ตอบโต้สหรัฐฯ โดยเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านเหรียญ ในอัตรา 15-25% รวมถึงสินค้าประเภทอาหาร สินค้าทางการเกษตร และรถยนต์
เดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ ประกาศรายการสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ารวม 200,000 ล้านเหรียญที่จะโดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% ผลคือในช่วงไตรมาส 2 ถึง ไตรมาสสุดท้าย ของปี 2561 เศรษฐกิจโลกซบเซาลงต่อเนื่อง
ล่าสุดช่วงต้นเดือนธันวาคม ในการประชุม จี20 ‘ทรัมป์’ และ ‘สี จิ้นผิง’ ตกลงพักรบชั่วคราว โดยจะเลื่อนการใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน ออกไปอีก 90 วัน จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า จะเริ่มใช้อัตราภาษีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
เริ่มสงคราม ฝั่งจีนเหนือกว่าสหรัฐ
นายพรศิลป์ พัชรินตนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ และอดีตรองประธานหอการค้าไทย ระบุว่า ภาวะสงครามการค้า จีนกับสหรัฐฯที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งการที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม และการเดินเกมขึ้นภาษีสินค้าต่างๆจากจีน ทำให้เศรษฐกิจโลกผันผวนอย่างหนัก ทั้งยังไม่ดีต่อเศรษฐกิจในสหรัฐฯเองด้วย
เห็นได้ชัดว่า ช่วงที่ผ่านมาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเหล็กและอลูมิเนียมในสหรัฐฯสูงขึ้น ไม่เพียงแค่ในสหรัฐฯแต่กระทบไปทั่วโลก ทั้งยังเกิดภาวะทางจิตวิทยา ทำให้ประชาชนทั่วโลกชะลอการใช้จ่าย กำลังซื้อหดตัว ภาคการลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และเชื่อว่าสภาวะนี้ยังคงยืดเยื้อไปอีกหลายปี หรือตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ “ทรัมป์”
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่า ที่ผ่านมาจีนยังคงความได้เปรียบ จากการได้ดุลการค้าสหรัฐฯอีกมากและต่อเนื่องมายาวนาน แม้ในช่วงสั้นๆนี้ การส่งออกจากจีนไปสหรัฐก็ยังเพิ่มขึ้น เพราะผู้นำเข้าในสหรัฐฯ พากันสต๊อกวัตถุดิบจากจีนกันล่วงหน้า เนื่องจากมีความกังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการขึ้นภาษีรอบ 2 ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายหลังการประกาศเลื่อนการใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันออกไปอีก 90 วัน เกมนี้จึงมองว่าสหรัฐฯไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นการทำร้ายประเทศตัวเอง
วิกฤติ-โอกาส ของผู้ประกอบการไทย
สำหรับประเทศไทย ภาพรวมของการส่งออกปี 2561 ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าพอสมควร โดยตัวเลขการส่งออก 3 ไตรมาส โตขึ้นเล็กน้อยเพียง 1-2 % และเห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยมีตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ และจีน รวมถึงอุตสาหกรรมไม้แปรรูปที่ส่งออกไปจีน
ขณะที่ในภาคเกษตร แม้ไทยมีการส่งออกกุ้งแช่แข็งไปสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณที่มากนักเนื่องจากเดิมสหรัฐฯกำหนดโควตาไว้อยู่แล้ว ทั้งผลผลิตในประเทศไทยปริมาณก็ไม่เพิ่มขึ้น ด้านไก่แช่แข็งที่ไทยส่งออกไปจีนกลับมีทิศทางทีดี จากการที่จีนจำกัดสินค้าอุปโภคนำเข้าจากสหรัฐฯ ตรงนี้อาจเป็นโอกาสของไก่สดแช่แข็งของไทย ทั้งยังสามารถทำตลาดประเทศอื่นๆได้อีก เพราะคู่แข่งสินค้าไก่แช่แข็งอย่าง ประเทศบราซิล ที่เกิดภาวะไก่เป็นโรคระบาด ยิ่งทำให้เป็นโอกาสของไก่แช่แข็งของไทย
ส่วนการส่งออกผลไม้และอาหารในรูปแบบจาก ข้าว และ ธัญพืช ที่เป็นอาหาร ในปี 2562 อาจได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้า เนื่องจากความต้องการในจีนและสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากทั้งสองประเทศสกัดกั้นภาษีระหว่างกันนั่นเอง
ด้านนางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุในที่ประชุมสรท. เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ว่า ข้อมูลผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้ตัวเลขการส่งออกไทยปี 2561 หดเหลือ 8 % จากเดิมที่ประเมินไว้จะเติบโตที่ 9 % และคาดการณ์ตัวเลขส่งออกปี 2562 จะโตได้แค่ 5 %
ผู้ส่งออกเกิดความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้า เพราะไม่เพียงอุตสาหกรรมที่ได้รับผลโดยตรง อย่างอุตสาหกรรมไอที และยานยนต์ แต่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องก็ได้รับผลกระทบอีกไม่น้อย อย่างเช่น กลุ่มยางแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ
เปิดโผสินค้าไทยโอกาสในวิกฤติ
นายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมส่งเสริมฯ มีการติดตามสถานการณ์สงครามการค้าอย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าสถานการณ์ครั้งนี้เปิดโอกาสหลายอย่างให้กับผู้ประกอบการไทย คือหากมองในมุมส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ สินค้าไทยจะเข้าไปทดแทนสินค้าจีน อาทิ สินค้าเกษตร อาหาร ข้าวและผลไม้ต่างๆ อาหารทะเลแปรรูป มันสำปะหลัง พลาสติก แผ่นฟิล์ม ฟรอย และท่อพลาสติก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ เตรียมวางแผนรับมือไว้ โดยสั่งการให้ทูตพาณิชย์ทั้งฝั่งจีนและฝั่งสหรัฐฯ วิเคราะห์รายกลุ่มสินค้าเพื่อพิจารณาว่าสินค้ากลุ่มใดที่ไทยจะมีโอกาส โดยในสหรัฐเลือกมา 15 กลุ่มสินค้า อาทิ เครื่องหนัง เครื่องเงิน เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าสิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่จีนถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 30-60%
จากนั้นได้ประสานให้ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เจาะข้อมูลผ่านผู้นำเข้าสหรัฐ โดยทำกิจกรรมนัดหมายจับคู่การค้า หรือจัดโรดโชว์ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าไทยแก่ผู้นำเข้าของสหรัฐฯ โดยทำงานร่วมกับทางสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม เชื่อว่าแผนการนี้จะทำให้ประเทศไทยขายสินค้าเข้าไปยังตลาดสหรัฐได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยก็ควรปรับตัวรับผลกระทบต่อสงครามการค้า พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากตลาดสหรัฐ ซึ่งกรมส่งเสริมฯ จะเร่งหาตลาดใหม่ในประเทศที่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ทั้งในอาเซียน ลาตินอเมริกาและแอฟริกา รองรับให้ผู้ประกอบการส่งออกทดแทนตลาดสหรัฐฯ