Brexit แบบไม่มีข้อตกลง อาจไม่เกิดขึ้น

ความคืบหน้าการถอนตัวของสหราชอาณาจักร(UK) ออกจากสหภาพยุโรป (EU) หรือเบร็กซิท (Brexit) ซึ่งล่าสุดผู้นำอียู 27 ประเทศ มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาให้สหราชอาณาจักรออกไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เพื่อให้มีเวลาในการเจรจาจัดทำความตกลงรูปแบบและเงื่อนไขความสัมพันธ์กับอียูใหม่ หรือที่เรียกว่า ความตกลงการถอนตัว (Withdrawal Agreement)

จนถึงขณะนี้ยังคาดเดายากว่าจะลงเอยเช่นไร ซึ่งเป็นไปได้หลายรูปแบบ เช่น สหราชอาณาจักร ออกจากการเป็นสมาชิกอียูแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือ อาจเปลี่ยนใจขอยกเลิกการออกจากการเป็นสมาชิกอียู (revoke Article 50) และจัดการลงประชามติครั้งใหม่ หรือจัดการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่

ที่น่าจับตาโดยเฉพาะผลการหารือระหว่าง เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กับ เจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงาน (ฝ่ายค้าน) ที่คัดค้านการให้สัตยาบันต่อความตกลงการถอนตัวตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจะสามารถหาข้อประนีประนอมได้หรือไม่ และเมื่อใด และข้อประนีประนอมดังกล่าวจำเป็นต้องแก้ไขความตกลงการถอนตัวฯ ที่ตกลงกันแล้วหรือไม่ และอียูจะสามารถยอมรับข้อเสนอแก้ไขความตกลงได้หรือไม่

นอกจากนี้ อียูยังมีกำหนดเลือกตั้งรัฐสภายุโรประหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม 2562 ซึ่งหาก เทเรซา เมย์ ไม่สามารถโน้มน้าว สส. และรัฐสภาฯ ของสหราชอาณาจักรให้ความเห็นชอบความตกลงการถอนตัวได้ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562  และอาจต้องเข้าร่วมการเลือกตั้งของอียู และยังอยู่ในอียูแบบไม่มีความชัดเจนว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าใด

ทั้งนี้ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เบร็กซิทได้ส่งผลระยะสั้นต่อภาคการเงิน และค่าเงินปอนด์ของสหราชอาณาจักร รวมถึงชะลอการตัดสินใจลงทุนเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และหากเกิดกรณีเบร็กซิทแบบไม่มีข้อตกลง (no deal) คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและอียู เนื่องจากอียูเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 1 มีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 580 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 50 ของการค้าทั้งหมดของสหราชอาณาจักร และอาจจะเสียสิทธิพิเศษทางการค้าและการลงทุนต่างๆ ที่เคยมีกับอียูหากมีกำแพงภาษีระหว่างกัน

อย่างไรก็ตาม การออกจากการเป็นสมาชิกอียูแบบไม่มีข้อตกลงน่าจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากท่าทีของอังกฤษตามมติของรัฐสภาฯ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2562 และอียูเองคงไม่อยากให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

สำหรับการคาดการณ์ผลกระทบของเบร็ทซิทต่อประเทศไทย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เกาะติดสถานการณ์เบร็กซิท มองว่าผลกระทบระยะสั้นที่เกิดจากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษที่ผันผวน อาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ และความต้องการซื้อสินค้าไทยที่ลดลง สำหรับในระยะยาว คาดว่าไทยน่าจะไม่ได้รับผลกระทบ แม้อังกฤษและประเทศในเครือจะเป็นคู่ค้ารายสำคัญอันดับที่ 20 ของไทย โดยมีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สัดส่วนการค้ามีไม่มากนัก เพียงร้อยละ 1.40 ของการค้าทั้งหมดของไทย)

ในทางตรงข้าม ไทยน่าจะได้รับผลเชิงบวก จากการที่กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนของอังกฤษภายหลังเบร็กซิทจะมีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายกว่าของอียูเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ดังที่อังกฤษประกาศจะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดภายหลังเบร็กซิทต่อสินค้าของไทย 4 รายการ ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ตาข่ายใยแก้ว รถลากพาเล็ท และข้อต่อท่อเหล็กอบเหนียวสลักเกลียว และจะให้ความสำคัญกับพันธมิตรทางการค้าใหม่ ตามนโยบาย Global Britain ทำให้ไทยน่าจะมีโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับอังกฤษเพิ่มขึ้น

ขณะที่การเเก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีในกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับโควตาสินค้าจำนวน 31 รายการ เช่น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลากระป๋อง เป็นต้น ที่ไทยเคยได้รับโควตาจากอียู เเละจะต้องมีการจัดสรรเเบ่งโควตาใหม่ภายหลังเบร็กซิท โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นในการรักษาผลประโยชน์ของไทยให้ได้รับปริมาณโควตารวม (ในอียูและอังกฤษรวมกัน) ที่ไม่น้อยกว่าเดิม และสะท้อนปริมาณการค้าจริงระหว่างไทยกับอียู 27 ประเทศ และอังกฤษให้มากที่สุด

คงต้องจับตาความเคลื่อนไหวกันต่อไปว่าที่สุดแล้วอังกฤษจะออกจากอียูแบบไร้เงื่อนไข หรือแค่ยืดเวลา หรือแม้แต่การลงประชามติใหม่ ตอนนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทุกทาง แต่ดูทีท่าของทั้งอังกฤษและอียู น่าจะเรียกว่าแก้เกี้ยวกันมาพอแล้ว ไม่นานนี้คงรู้ผล ว่าจะเอาไงแน่ แต่เชื่อว่าการออกจากอียูแบบไม่มีเงื่อนไขคงไม่เกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจทั้งสองฝั่งช่างเปราะบางเหลือเกิน

อ้างอิง : www.thaiquote.org