แม้จะเผชิญกับวิกฤติโรคโควิด 19 แต่การค้าชายแดนของไทยยังคงคึกคัก
ปัจจุบันประเทศไทยทำการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ
ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมา สปป. ลาว และกัมพูชา
โดยตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน ปี 2564 ‘มาเลเซีย’ นับเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของประเทศไทย
มีมูลค่าการค้าสูงที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 35.85 % ของมูลค่าการค้าชายแดนรวม
รองลงมา ได้แก่ สปป. ลาว (23.69 %) เมียนมา (21.60 %)
และกัมพูชา (18.87 %) และเมื่อดูตัวเลขการค้ารายประเทศล่าสุดในเดือนกรกฎาคมการค้าชายแดนมาเลเซียยังมีมูลค่าสูงสุดที่
23,895 ล้านบาท ขยายตัว 11.04 %
‘มาเลเซีย’
เป็นประเทศที่มีชายแดนติดกับไทย ดังนั้นจึงมีรูปแบบการค้าที่คุ้นเคย คือ
การค้าชายแดน โดยไทยและมาเลเซียมีด่านติดกันอยู่ทั้งหมด 9 ด่าน
ซึ่งที่ผ่านมามีคนเข้า-ออกและขนส่งสินค้าได้ตามปกติ จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา
ด้วยมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ส่งผลให้หลายด่านต้องปิดชั่วคราว
โดยรูปแบบการปิดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ปิดด่านคน
หมายถึงคนห้ามเข้า-ออก 2. ปิดด่านขนของ คือ
ห้ามให้ขนถ่ายสินค้าเข้า-ออก
สำหรับด่านในประเทศไทย 9 ด่าน ที่ติดกับมาเลเซีย ได้แก่
สะเดา จ. สงขลา, ปาดังเบซาร์ จ. สงขลา,
บ้านประกอบ จ. สงขลา, เบตง จ. ยะลา,
สุไหงโกลก จ. นราธิวาส, วังประจัน จ. สตูล, ตะมะลัง จ. สตูล, บูเก๊ะตา จ. นราธิวาส และ ตากใบ
จ. นราธิวาส
อย่างไรก็ดี
ด่านการค้าที่มีมูลค่าการค้ารวมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรสะเดา คิดเป็นสัดส่วน
81 % รองลงมา คือ ด่านฯ ปาดังเบซาร์ (16.46%) ด่านฯ สุไหงโกลก (0.94 %) และด่านเบตง (0.93
%) ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่ทำให้ไทยกลายเป็นคู่ค้าสำคัญกับมาเลเซีย
คือ การค้าทางบก เพราะสะดวกและปลอดภัย
โดยที่ผ่านมาสินค้าส่งออกที่สำคัญทางชายแดนไทย-มาเลเซีย 5 อันดับแรก
ได้แก่ ยางพารา 15.91 % เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ฯ 12.92
% รถยนต์และอุปกรณ์ 6.64 % เครื่องวิดีโอ 3.40
% และแผงวงจรไฟฟ้า 3.05 %
‘โอกาสทางการค้า’ เป็นสิ่งสำคัญ
ที่ผู้ประกอบการควรหมั่นเสาะหาและคว้าไว้ในเวลาที่เหมาะสม เช่น
ถึงแม้ว่าช่วงปีที่ผ่านมากำลังซื้อของคนมาเลเซียจะลดลงและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด
19 แต่ยอดการเติบโตของการซื้อขาย ‘สินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต’
เพิ่มขึ้นสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ โดยเติบโตเกือบ 10 % และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก
นอกจากนี้
ผู้ประกอบการควรทำความรู้จักก่อนว่าซูเปอร์มาร์เก็ตของมาเลเซียแตกต่างจากที่ไทย
โดยมาเลเซียมีแบรนด์ใหญ่หลายแบรนด์ และมีส่วนแบ่งทางการตลาดมาก
ซึ่งทุกแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง แต่ที่ไทยมีแบรนด์ใหญ่ ๆ อยู่แค่ 4-5 แบรนด์เท่านั้น
ซึ่งผู้ประกอบการที่ต้องการนำสินค้ามาวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตของมาเลเซีย
ถ้าสินค้าไม่ได้เจาะตลาดกลุ่มใหญ่อาจจะเลือกซูเปอร์มาเก็ตที่ไม่ต้องแบรนด์ใหญ่มากก็ได้
เช่น อาจจะเลือก ‘Maxvalu’ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเล็ก
แต่กำลังซื้อสูง เป็นต้น
กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนเป็นอีกข้อที่พึงระวัง
ด้วยความที่มาเลเซียและไทยอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ก็ได้ทำความตกลงเขตการค้าเสรี
ยกเว้นภาษีนำเข้า-ส่งออกระหว่างกัน ซึ่งสามารถใช้เป็นแต้มต่อได้
แต่การซื้อขายสินค้าใดใดจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของมาเลเซียด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายที่ว่าด้วยมาตรฐานสินค้าในกลุ่มนั้น ๆ เช่น อาหารทุกชนิด
พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก (ยกเว้นเนื้อหมู)
นมและผลิตภัณฑ์นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีก เป็นต้น
เนื่องจากหากสินค้าไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้
จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของท่านและชื่อเสียงของสินค้าไทยอย่างมาก
ผู้เขียน: ศิริอาภา คำจันทร์ Senior ASEAN analyst
อ้างอิง: ‘พลิกกลยุทธ์ เพิ่มโอกาสค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย’
https://youtu.be/gMU7xE8OsrQ
โดยคุณวรวรรณ วรรณวิล อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์)
ประเทศมาเลเซีย และ รายงานสถิติการค้าชายแดน/ผ่านแดน (dft.go.th) จากกรมการค้าระหว่างประเทศ
ผู้เขียน: ศิริอาภา คำจันทร์ Senior ASEAN Analyst, AEC Connect