การค้าชายแดน-ผ่านแดนปีนี้ยังโตจากฐานต่ำจากผลพวงการระบาดของโควิด 19 ขณะที่การค้าผ่านแดนและข้ามแดนรูปแบบใหม่ หรือ Cross-Border e-Commerce (CBEC) ช่องทางที่อาจจะเป็นอีกโอกาสของสินค้าไทย มาดูกันว่าสถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร และโอกาสอยู่ตรงไหน
1 ล้านล้านบาท คือ ตัวเลขการประเมินมูลค่ารวมของตลาดการค้าชายแดนไทยในปี 2563 ก่อนการระบาดของโควิด 19 ขณะที่ผลพวงจะการระบาดตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นผลทำให้มูลค่าตลาดรวมที่คาดว่าจะขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 กลับติดลบที่ร้อยละ 8
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยสิ้นปี 2563 มูลค่าค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ มีมูลค่ารวม 760,158.93 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 8.05 เทียบจากปี 2562 ผลพวงจากการค้าโลกที่หยุดชะงัก และมาตรการปิดด่านชานแดนเพื่อป้องกันการระบาดของโรคและอย่างที่ทราบดีว่าในปี 2564 นี้ มีการเปิดด่านค้าชายแดนและบรรยากาศของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มกลับมาภายหลังข่าวดีเรื่องวัคซีน
ทว่าผลพวงจากการกระหน่ำของโควิด
19 ที่มีการระบาดหลายระลอกในช่วงที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์ค้าชายแดนไทยยังคงมีการเติบโตจากฐานต่ำ
จากข้อมูลล่าสุด
การค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ
(มาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา)
ปี 2564 (มกราคม -
สิงหาคม) มูลค่าการค้ารวม
584,901 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 17.63 % โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซียมี มูลค่าสูงที่สุด
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.67 ของมูลค่าการค้าชายแดนรวม รองลงมา ได้แก่
สปป.ลาว (23.96 %) เมียนมา (21.63%)
และกัมพูชา (18.74%)
ตรงนี้จะเห็นว่าการค้าชายแดนไทยมาเลเซียมีการเติบโตสูงสุด
โดยด่านที่ที่มีมูลค่าการค้ารวมสูงสุด 5 อันดับแรก
ได้แก่ ด่านศุลกากรสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ ด่านสุไหง-โกลก และด่านเบตง
แต่ตามที่ระบุในตอนต้น เป็นการเติบโตจากฐานต่ำในปี 2563
ขณะที่การค้าชายแดนอีก 3 ประเทศ คือ
เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ที่ผ่านมาทั้งจากปัญหาการระบาดของโควิดในประเทศ
สถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา ตลอดจนมาตรการด้านสาธารณะสุขต่างๆ
ที่ทำให้กิจกรรมการค้าชายแดนเป็นไปอย่างติดขัด
และเมียนมาเป็นประเทศที่การค้าขายแดนเติบโตได้ต่ำสุดเมื่อเทียบกับอีก
3 ประเทศ คือติดลบร้อยละ 14.73 เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีการเติบโตถึง 193,262.95 (ม.ค.-ส.ค.) แต่เติบโตเป็นบวกร้อยละ 10.56
เมื่อเทียบกับปี 2564
ส่วนด้าน สปป.ลาว
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19
เช่นกันทำให้มีมาตรการในการข้ามแดนและผ่านแดนที่เข้มงวดมากขึ้น
ทั้งเป็นที่ทราบดีว่า ปัจจุบัน สปป.ลาวนำเข้าสินค้าอุปโภค-บริโภค จากไทย
ขณะที่ไทยก็ยังใช้ สปป.ลาวเป็นประเทศทางขนส่งผักผลไม้ไปเวียดนามและจีนตอนใต้
ดังนั้นอุปสรรคในการขนส่งทำให้เศรษฐกิจชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทยและสปป.ลาว
ยังคงเติบโตได้ไม่มากนัก
ขณะที่บรรยากาศการค้าชายแดนด้านกัมพูชา
ซึ่งที่ผ่านมาในภาคของการบริโภคได้มีการปรับเป็นด่านค้าส่งเสียส่วนใหญ่
ทำให้กิจกรรมการค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้การระบาดของโควิด 19
ซึ่งทางรัฐบาลของกัมพูชาได้ตั้งกฎการเข้าเมืองและผ่านแดนไว้อย่างเข้มงวดและมีต้นทุนการจัดการที่สูง
ดังนั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าการเติบโตจากฐานต่ำของด้านค้าชายแดนไทย-กัมพูชา
จะยังคงเติบโตได้อย่างยากเย็นในกรอบแคบๆ ในปี 2564 นี้
และจะเห็นว่า
จากข้อมูลล่าสุดระบุถึงการเติบโตของการค้าชายแดนในปี 2564 นี้
ยังนับเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำกว่าเกณฑ์ในปี 2563 หรืออาจจะกล่าวได้ว่า
แม้ปีนี้ภาครวมของการค้าชายแดน 4 ประเทศจะมีตัวเลขการเติบโตที่หวือหวา
แต่เมื่อดูจากฐานการเติบโตในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด 19
ปีนี้อาจเป็นแค่การขยับเข้าสู่จุดเดิมเท่านั้น
การค้าผ่านแดน ความหวังของเศรษฐกิจไทย
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการค้าผ่านแดนไทยกับ
จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศ อื่น ๆ ปี 2564 (มกราคม - สิงหาคม) ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 533,459
ล้านบาท
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ก่อน เพิ่มขึ้น 50.15% โดยการค้าผ่านแดนไทยกับจีนมีมูลค่าสูงที่สุด
คิดเป็นร้อยละ 48.17 รองลงมาคือ
สิงคโปร์ ร้อยละ 14.73 และเวียดนาม ร้อยละ 8.77
จุดที่น่าสนใจคือ การค้าผ่านแดนระหว่างไทย-จีน
ซึ่งตัวเลขล่าสุดปี 2564 (มกราคม
- สิงหาคม) การค้าผ่านแดนไทย - จีน มีมูลค่าการค้ารวม 256,962 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เพิ่มขึ้น 67.24 % แบ่งเป็นการ ส่งออกมูลค่า 146,931
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.95 % และการนำเข้ามูลค่า 110,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.79 % โดยด่านการค้าไปจีนที่มีมูลค่าสูงสุด คือ ด่านศุลกากรมุกดาหาร ด่านฯ นครพนม และด่านฯ
เชียงของ
ขณะที่ด้านการค้าผ่านแดนไทยเวียดนาม ซึ่งล่าสุดแม้จะเห็นตัวเลขการเติบโตแต่เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากฐานเดิม ขณะที่สิงคโปร์แม้จะเติบโตได้ดีในกลุ่มสินค้าอุปโภค อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และไอทีแต่ไทยยังคงเสียดุลการค้าในตลาดนี้ ดังนั้นจะเห็นว่าความหวังอาจจะต้องฝากไว้ที่การค้าผ่านแดนไทยจีนและเวียดนาม
ซึ่งในวันที่ 2 ธ.ค. 2564
จะมีการเปิดเส้นทางการขนส่งด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงระหว่างนครคุนหมิง-เวียงจันทน์
(สปป.ลาว) หรือรถไฟความเร็วสูง ลาว-จีน ที่สามารถส่งสินค้าผ่านรถไฟตลอดเส้นทางเริ่มจากนครหลวงเวียงจันทน์ของ
สปป.ลาว มุ่งตรงสู่มณฑลยูนนานของจีนได้ในระยะเวลาเพียง 8 ชั่วโมง มีจุดเชื่อมต่อกับไทยที่
จ.หนองคาย
กระนั้น โดยปกติไทยใช้
จ.หนองคายในการส่งสินค้าเข้าสู่ สปป.ลาว เป็นหลัก
แต่แทบไม่ได้ใช้ขนส่งสินค้าไปจีนเนื่องจากเส้นทางยังไม่เอื้อต่อการขนส่งข้ามแดน
เมื่อเทียบกับเส้น R3A เข้าทางด่านโม่ฮานสู่ยูนนาน
หรือเส้นทางผลไม้อย่างเส้น R9 และR12
เข้าทางมุกดาหาร หรือนครพนมซึ่งได้รับความนิยมมากกว่า
อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างนครคุนหมิง-เวียงจันทน์
(สปป.ลาว) ที่จะเริ่มเปิดให้บริการขนส่งประมาณ 2 เที่ยวต่อวันก่อนจะปรับเพิ่มเส้นทางในอนาคตซึ่งคาดว่าไม่เพียงสามารถร่นระยะเวลาจากขนส่งสินค้าจากไทย
– ลาว จีน
ยังเป็นโอกาสของการที่สินค้าไทยจะสามารถเข้าตลาดจีนตอนใต้ได้อย่างสะดวกมากขึ้น
ปรับธุรกิจสู่ Cross
Border E-commerce
โอกาสตลาดออนไลน์ข้ามแดน
โมเดลของการทำธุรกรรมการค้าข้ามประเทศผ่านช่องทางออนไลน์
ซึ่งส่วนมากแพร่หลายในประเทศที่ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าจากต่างประเทศ เช่น
ในอาเซียน และจีน การสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ข้ามประเทศตามปกติมีข้อจำกัดเรื่องค่าขนส่งที่สูง
ซึ่งการขนส่งสินค้าไปจีนในปัจจุบันใช้เส้นทางบกโดยรถบรรทุก ผ่านแดน
สปป.ลาวและเวียดนาม ซึ่งแม้จะเป็นการขนส่งที่รวดเร็วกว่าเส้นทางเรือ
แต่ก็มีต้นทุนแฝงที่สูงพอสมควร
ขณะที่การเกิดขึ้นของการขนส่งทางรถไฟ
อาทิ รถไฟความเร็วสูงลาว-จีน หรือ ด่านรถไฟโม่ฮาน ที่ได้ดำเนินการเมื่อวันที่ 18
พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา โดดบนอกจากจะสามารถขนส่งสินค้าเทกอง ยังรองรับสินค้า
อาทิ สินค้าเนื้อสัตว์ สินค้าแช่เย็น/แช่แข็ง ธัญพืช ผลไม้ สัตว์น้ำมีชีวิต
ต้นกล้า ไม้ และ สัตว์มีชีวิต
รวมทั้งโมเดล Cross
Border e-Commerce เป็นการพัฒนาคลังสินค้าและโลจิสติกส์ครบวงจรประกอบกันเพื่อสต๊อกสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะ
โดยภาครัฐและรัฐบาลท้องถิ่นของจีนให้การสนับสนุนตั้งพื้นที่คลังสินค้า
ซึ่งมีข้อดีตรงที่สามารถกระจายสินค้าในประเทศได้ทันทีเมื่อมีคำสั่งซื้อและค่าขนส่งลดลงด้วย
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าออนไลน์ผ่านแดนในลักษณะ B2B
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ การค้าออนไลน์ข้ามแดนจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะการค้าแบบ B2C หรือ C2C อีกต่อไป แต่ยังเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการค้าชายแดน ขยับมาสู่รูปแบบการค้าออนไลน์ข้ามแดนซึ่งไม่เฉพาะตลาดจีน และยังมีตลาดใหญ่ที่กำลังเติบโต คือ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาและเวียดนาม) ภายใต้การขนส่งที่หลากหลายมากขึ้นจะทำให้การค้า การขนส่งและกิจกรรมการค้าชายแดนแบบค้าส่งเดิมๆ จะต้องปรับเปลี่ยนไป
ที่สำคัญช่องทางการค้าจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบของ
e-Marketplace ที่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลกสามารถติดต่อซื้อขายและจัดส่งได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
และที่สำคัญไปกว่านั้น Cross Border e-Commerce จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีศุลกากร
ซึ่งแตกต่างจากการนำเข้าปกติ สิ่งเหล่านี้จึงมองว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ
ที่การค้าชายแดนแบบเดิมจะปรับเปลี่ยนไป เป็นโอกาสและมิติใหม่ของการค้าชายแดนและผ่านแดนในรูปแบบออนไลน์ที่กำลังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
แหล่งข้อมูล : กรมการค้าระหว่างประเทศ
https://www.ditp.go.th/contents_attach/173908/173908.pdf