เทคโนโลยียุคดิจิทัลส่งผลให้รูปแบบการให้บริการเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศสามารถให้บริการแก่บุคคลต่างๆ
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
รวมทั้งมีแพลตฟอร์มซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการจำนวนมาก
ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงบริการอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศได้ง่าย สะดวก
และรวดเร็ว
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการในประเทศที่ให้บริการ e-Service ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ยื่นแบบฯ และชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ผู้ประกอบการต่างประเทศไม่ต้องดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเสียมูลค่าเพิ่ม เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบในการทำธุรกิจ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
‘ทางออก’ ตามมาตรฐานสากล
ดังนั้นนานาประเทศจึงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ปัญหานี้
ด้วยการทำตามคำแนะนำของ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศ
ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแก่หน่วยงานจัดเก็บภาษี
ซึ่งปัจจุบันมีประเทศที่ทำตามคำแนะนำนี้มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย เบลเยียม สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน สิงคโปร์
เป็นต้น
ภาษีนี้..มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจใดบ้าง?
ได้แก่ผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ อาทิเช่น บริการดาวน์โหลดหนัง/ภาพยนตร์
เพลง เกม สติกเกอร์ สื่อโฆษณา เป็นต้น และแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการในไทย
เช่น Apple, Google, Facebook,
Netflix, Line, YouTube, TikTok ซึ่งมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
‘กรมสรรพากร’ มีหน้าที่อย่างไรบ้าง?
ด้านกฎหมาย
กรมสรรพากรได้ดำเนินการแก้ไขประมวลรัษฎากรตามแนวทางของ
OECD (ฉบับที่…) พ.ศ. (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ [e-Service]) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่มีรายได้มากกว่า
1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยื่นแบบแสดงรายการ
ภายใต้ระบบ pay-only (ห้ามหักภาษีซื้อ)
ไม่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีและรายงานภาษีซื้อ
ด้านระบบอำนวยความสะดวกและการให้บริการ
กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบ Simplified VAT System for e-Service (SVE) เป็นระบบการจดทะเบียน การยื่นแบบฯ และการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Best Practice ของต่างประเทศ
โดยสามารถดำเนินการได้ที่ www.rd.go.th เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย
- สามารถเรียกเชิญพบหรือออกหมายไปยังผู้ประกอบการ
เพื่อตรวจสอบและประเมินเรียกเก็บภาษี
- ออกหมายเรียกพยานผู้เกี่ยวข้อง เช่น
สถาบันการเงินต่างๆ เพื่อขอข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านสถาบันการเงิน
- การแสดงรายชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำให้ผู้บริการอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้กรมสรรพากรยังได้ร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศด้วย
เช่น การเข้าภาคีความตกลง Multilateral Convention on Mutual
Administrative Assistance in Tax Matters (MAC) ซึ่งมีบทบัญญัติครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลทุกรูปแบบ
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างประเทศด้วย
ข้อดีภาษี ‘e-Service’
-
สร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทย
กับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ
-
ช่วยปิดช่องโหว่ของกฎหมาย โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service ต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยื่นแบบฯ และนำส่งภาษี
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศ
- ยกระดับการบริหารจัดเก็บภาษีในไทย
สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกและรูปแบบการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
- สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ
ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท
ทำไมทุกประเทศต่างจับตา "ภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล"
ธนาคารโลก (World Bank) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา "เศรษฐกิจดิจิทัล" มีสัดส่วนกว่า 15.5%
ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก (GDP) และเติบโตรวดเร็วกว่าจีดีพีโลกถึง
2.5 เท่า จึงเป็นผลให้ในปี
2561 คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เสนอพิจารณาการจัดเก็บภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล
(Digital Service Tax : DST) อัตรา 3%
ของรายได้ที่มาจากการให้บริการโฆษณาออนไลน์
รายรับหรือรายได้ที่มาจากกิจกรรมการเป็นตัวกลางทางดิจิทัล
และยอดขายของข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมของผู้ใช้ เพื่อสร้างความเท่าเทียมสำหรับผู้ประกอบการและนำรายได้จากภาษีไปพัฒนาประเทศต่อไป
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bangkokbiznews.com/
https://news.bloombergtax.com/