จับตา Digital Trends ความท้าทายใหม่ที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้
การระบาดของโควิด 19 ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนใหม่เป็นแบบ
“new normal” หรือการใช้ชีวิตประจําวันโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อไวรัส
ซึ่งมีความจําเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น อาทิ
การทํางานหรือเรียนหนังสือจากที่บ้านผ่านโปรแกรมประชุมออนไลน์
การสั่งซื้ออาหารและสินค้าต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นและช่องทางออนไลน์มากขึ้น
รวมถึงการทําธุรกรรม การเงินออนไลน์ และการชําระเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารแทนการจ่ายเงินสด
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเร่งเร้าให้เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล
ที่สำคัญเรื่องนี้ยังเป็นตัวกําหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอยู่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การใช้ข้อมูลเท็จในการโฆษณาสินค้าเกินความเป็นจริง หรือการบิดเบือนและ/หรือป้อนข้อมูลที่มีเนื้อหารุนแรงเพื่อผลประโยชน์ และสืบเนื่องจากวิกฤติโควิดทําให้บริษัทผู้ให้บริการออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อาทิ Google และ Apple มีอํานาจเทียบเท่าหรือเหนือกว่ารัฐบาล ในเรื่องของการกําหนดมาตรฐานของแอปพลิเคชั่นเพื่อติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และมีบทบาทสําคัญในชีวิตของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ภาครัฐตื่นตัวในการออกมาตรการเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ และเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้ามาแข่งขันได้มากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้วยเหตุนี้ ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปหรืออียู
ได้เสนอร่างกฎหมายการให้บริการดิจิทัล (Digital
Services Act – DSA) เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบของโซเชียลมีเดียและผู้ให้บริการออนไลน์
ในการกรองข่าวปลอม (fake news) ถ้อยคําที่แสดงความเกลียดชัง
(hate speech) โดยผู้ให้บริการออนไลน์ อาทิ Facebook
Twitter ต้องมีเครื่องมือในตรวจสอบและลบข้อมูลที่ไม่เหมาะสม/ข้อมูลที่มีการบิดเบือนความจริงออกทันที
โดยผู้ให้บริการต้องให้เหตุผลในการลบข้อมูลนั้นออกแก่ผู้ใช้ด้วย
และมีบทลงโทษหากผู้ให้บริการออนไลน์ละเลยไม่จัดวางกลไกที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาข่าวปลอม
การลดการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
โดยร่างกฎหมายการตลาดดิจิทัล (Digital Market Act – DMA) เพื่อควบคุมบริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่
หรือบริษัทที่เป็นผู้คุมประตู (Gatekeeper) ระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการจํานวนมาก
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Google บริษัท Amazon และบริษัท Booking.com เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเหล่านี้สามารถเก็บข้อมูล
ความสนใจของผู้ใช้และเลือกนําเสนอโฆษณาของบริษัทตนเอง ทําให้บริษัท SME ไม่มีทางเข้าถึงผู้บริโภคได้
ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จะห้าม
“บริษัทผู้คุมประตู” ไม่ให้มีแนวปฏิบัติที่ถือว่ากระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดออนไลน์
เพื่อป้องกันการผูกขาดบริการออนไลน์และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม
โดยเฉพาะสนับสนุนให้บริษัทสตาร์ทอัพมีโอกาสแข่งขันในตลาดออนไลน์มากขึ้น มีการจัดเก็บภาษีดิจิทัลจากบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ
จัดเก็บภาษีดิจิทัล
ป้องกันผูกขาดการค้า
ในขณะที่มาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอย
อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และร้านขายปลีกจํานวนมากก็แทบเอาตัวไม่รอด
แต่บริษัทยักษ์ใหญ่กลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งส่งผลให้บริษัทเหล่านี้มีพลวัตในอุตสาหกรรมดิจิทัลมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลในหลายประเทศ
เริ่มมีการจับตาพฤติกรรมผูกขาดทางการค้าของบริษัทเหล่านี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
รวมถึงเสนอให้มีการพิจารณาจัดเก็บภาษีดิจิทัล
ซึ่งจะเป็นอีกแหล่งรายได้เพื่อนํามาเยียวยาเศรษฐกิจในยุคโควิด
รวมถึงควบคุมสนามการแข่งขันในโลกออนไลน์ให้มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้น
เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEs สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
อาทิ เมื่อปี 2563
อียูได้มีการเสนอให้เก็บภาษีดิจิทัลในอัตราร้อยละ 3 สําหรับบริษัทที่มีรายได้ 750 ล้านยูโรขึ้นไป
แต่ยังไม่ประสบความสําเร็จในการผลักดันมาตรการใหม่นี้ในระดับอียู
เนื่องจากไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวีเดนลงมติไม่เห็นด้วย ในขณะเดียวกันฝรั่งเศส
สเปน อิตาลี และออสเตรีย ได้ออกกฎหมายภายในจัดเก็บภาษีดิจิทัลแล้ว แม้จะยังไม่สำเร็จแต่อียูมีกําหนดเสนอแผนการจัดเก็บภาษีดิจิทัลในไตรมาสที่
2 ของปี 2564 นี้
ประเทศไทยกับร่างกฎหมายภาษีอี-เซอร์วิส
สำหรับประเด็นเรื่องภาษีดิจิทัล
ทำให้นึกโยงมาถึงธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นการผูกขาดการค้าจากแพลตฟอร์มต่างชาติ
ทำให้ระเทศไทยเองก็มีร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
…. การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-Service) ที่ไม่มีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย โดยให้ผู้บริการลักษณะอย่างนี้จะต้องมีการจ่ายแวตให้กับประเทศไทยด้วย
โดยการเก็บภาษีจะครอบคลุมทั้งการบริการออนไลน์ของต่างประเทศที่เข้าข่ายในการเสียภาษีดิจิทัล
ได้แก่
1. กลุ่มอีคอมเมิร์ซ
2. มีเดีย และแอดเวอร์ไทซิ่ง
3. กลุ่มบริการ
4. กลุ่มทรานส์ปอร์เทชั่น (แอร์ไลน์ )
5. กลุ่มทราเวล
6. ดิจิทัล คอนเทนท์
7. กลุ่มซอฟต์แวร์
8. เกม
9. กลุ่มอินฟราสตรัคเจอร์
10. บริการการเงิน
11. ฟอเร็กซ์ อินเวสเม้นท์
ซึ่งผู้ให้บริการอยู่ในต่างประเทศและไม่มีการจดทะเบียนหรือตั้งบริษัทลูกในประเทศไทย
การร่างกฎหมายภาษีอี-เซอร์วิส
ที่จะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ
ซึ่งการที่นานาประเทศออกมาตรการเก็บภาษีจากบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติเหล่านี้ เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ให้บริการในประเทศที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
โดยมองว่าบริษัทในประเทศเสียเปรียบต่อแพลตฟอร์มข้ามชาติ
ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะช่วยสร้างสมดุลให้แก่ทั้งสองฝ่ายมากขึ้น
กล่าวได้ว่าภายใต้การเร่งเร้าของเทคโนโลยี
ที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นมาตรการด้านต่างๆ
รัฐเองจะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย
ขณะที่ธุรกิจเองก็ต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง
เพราะนี่คือยุคที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าคุณเร็วพอ แต่ก็ควรศึกษากฎหมายและข้อระเบียบที่เพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งล่าสุดจะมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ซึ่งใกล้ตัวและเวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ
แหล่งอ้างอิง : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ และคณะผู้แทนไทยประจําสหภาพยุโรป