ภายใต้การเดินหน้าแก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือหลายภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศโดยรวมถือว่ามีความคืบหน้า ที่ผ่านมาที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ซึ่งที่ประชุมได้อนุมัติหลักการ/มาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 3 ส่วนด้วยกัน คือ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ส่วนที่ 1 การแก้ไขปัญหาว่างงาน
โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่และผู้ว่างงาน
จึงได้มีการจัดงาน Job Expo Thailand 2020
ผู้เข้าร่วมงานกว่าแสนคน ทั้งนี้ เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ”
ยังคงเปิดให้ผู้ประกอบการสามารถประกาศรับลูกจ้างเพิ่มเติม
ส่วนที่ 2
การกระตุ้นเศรษฐกิจแก่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อน อาทิ
โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการกำลังใจ ได้ขยายเวลาโครงการถึงวันที่ 31 ม.ค. 2564
ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้ประชาชนคนไทยช่วยกันสนับสนุนธุรกิจโรงแรม
อย่างไรก็ตาม
ยังมีโครงการกระตุ้นการเดินทาง “Workation
Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย
จัดทำแพ็กเกจโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้แก่บริษัทหรือหน่วยงานที่ต้องการเข้าพักในจำนวนหลายห้องในราคาพิเศษ
ซึ่งมีภาคเอกชนให้ความสนใจจำนวนมาก
ส่วนที่ 3
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เป็นเวลา 3
เดือน ในวงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท “โครงการคนละครึ่ง” โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการกว่า
2 แสนราย ซึ่งจะมีผู้ได้รับสิทธิ 10 ล้านคน รัฐบาลสนับสนุนในวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท
และอีกครึ่งหนึ่งเป็นวงเงินจากผู้ได้รับสิทธิ 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 6
หมื่นล้านบาท
รวมทั้งหมดแล้วจะมีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ
8.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งล่าสุดที่ประชุม ศบศ. เห็นชอบในหลักการมาตรการ “ช้อปดีมีคืน”
เพื่อให้กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือกลุ่มผู้ประกอบการ สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี
2563 เมื่อใช้จ่ายถึง 3 หมื่นบาท คาดว่าจากโครงการจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 1.2
แสนล้านบาท เพื่อนำเสนอแก่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม–ธันวาคม
จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ประคับประคองธุรกิจ
ช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ยังได้รับความเดือดร้อน
รวมทั้งมีการหารือถึงมาตรการเปิดประเทศในอนาคต
ดึงดูดนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อหารายได้ให้แก่ประเทศ โดยภาพรวมแล้วในช่วง 4-5
เดือนที่ผ่านมา อัตราความมั่นของผู้บริโภค อัตราการผลิต อัตราการเข้าพักในโรงแรม
ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งสำคัญคือการปรับโครงสร้างหนี้ของจำนวนหนี้ที่พักชำระในช่วงล็อคดาวน์
ยอดเงินกว่า 6-7 ล้านล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้องจำนวน 12.5 ล้านราย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางกรอบแนวทางแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว
เปิดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้
ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ได้รายงานว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเคลื่อนตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ
ทั้งการลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีผลผลิตสินค้าจากการเกษตรที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อัตราการเข้าพักห้องพักต่างๆ อยู่ที่ร้อยละ 26.9 ในส่วนของแรงงาน ผู้ใช้สิทธิตามมาตรา
75 ขณะนี้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ การผ่อนคลายมาตรการยังส่งผลให้ธุรกิจขยับตัวดีขึ้น
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ในส่วนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกอบไปด้วย
1. การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย
SMEs Corporate ได้แก่ ลูกหนี้รายย่อยรวมมูลค่า 3.84
ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า
2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ corporates รวมมูลค่า 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี
2.
การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ
DR BIZ ซึ่งเป็นระบบ one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เดิม
และมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่
3. สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่องจะหมดในปลายเดือนนี้
และจะมีมาตรการต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ สศช. ยังเผยถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม คือ “มาตรการช้อปดีมีคืน” เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี สำหรับประชาชนซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท สามารถที่จะไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม–31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ในเดือนมีนาคม 2564