หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์จากมาตรการป้องกันโควิด-19
บรรยากาศการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของไทยปี 2563 เริ่มมีแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(อีอีซี) ภายใต้กฎหมายต่างด้าวที่ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกขับเคลื่อนอีอีซี ซึ่งในช่วงตลอดเดือนมิถุนายน
2563 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจรวมทั้งสิ้น
56 ราย
แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจจำนวน 22 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจจำนวน 34 ราย มีนักลงทุนต่างชาติลงทุนเพิ่มขึ้น 11 ราย หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 24% มีเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท คิดเป็น 0.77% โดยมีนักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนสูงสุดจำนวน 7 ราย คิดเป็นเงินลงทุนจำนวน 386 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 623 ล้านบาท และจีนจำนวน 2 ราย เงินลงทุน 330 ล้านบาท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกของปี
2563 กลุ่มนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวน 355 ราย
มีเงินลงทุนทั้งสิ้นรวม 58,407 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่ามีจำนวนนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้นจำนวน
22 ราย หรือเพิ่ม 7% เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 3,653 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น
7%
สาเหตุต่างชาติเข้ามาลงทุนลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่กระนั้นการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก โดยภาพรวมการลงทุนลดลงบ้างแต่ไม่ถึงกับมากนัก
เพราะมีการลงทุนเดิมที่ขอบีโอไอไว้แต่ภาพทั้งปีก็อาจจะลงลึก
ซึ่งประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ว่าการลงทุนจะขึ้นเกิดเมื่อไหร่ เพราะหากประเมินการวิจัยวัคซีนโควิด-19
จะสำเร็จอย่างราวต้นปี 2564 ดังนั้นในช่วงเวลา 6-9
เดือนนี้จะเป็นช่วงสำคัญที่ไทยต้องเชื่อมโยงให้ผู้ลงทุนต่างชาติเข้ามา เพื่อจะรักษาโมเมนตั้มการลงทุนภายในประเทศให้เกิดความต่อเนื่อง
สอดคล้องกับความคิดเห็นของน.ส.สมจิณณ์
พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
ประเมินสถานการณ์การลงทุนหลังวิกฤติโควิด-19
คลี่คลายจะทำให้มูลค่าการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 2 แห่งในอีอีซี 1
แห่งและนอกเหนือโครงการอีอีซีอีก 1 แห่ง
จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจสหรัฐและจีน
ซึ่งทำให้นักลงทุนบางส่วนที่มีฐานในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน เตรียมย้ายฐานการผลิตเข้ามาที่ประเทศไทย
รวมทั้งการเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 2 แห่งยังคงได้รับความสนใจเป็นพิเศษในการเข้าจัดตั้งโรงงาน
และส่วนใหญ่ได้ทำสัญญาจองเช่าและมัดจำไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
กนอ.มั่นใจต่างชาติหวนกลับมาลงทุนในไทย
แม้ว่าช่วงการระบาดของโควิด-19
จะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
แต่ยังนับว่าเป็นโอกาสดีที่มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2 แห่ง คือ
1. นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 6 ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอปลวกแดง
อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 1,322.40 ไร่
มูลค่าการลงทุนโครงการประมาณ 2,625.78 ล้านบาท
2. นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์
ไทยแลนด์ นอกเหนือโครงการอีอีซีตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอไชโย
จังหวัดอ่างทอง บนพื้นที่ 1,398.04 ไร่ มูลค่าการลงทุน 4,237.17 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมีนิคมอุตสาหกรรมที่ได้ลงนามสัญญากับ
กนอ.แล้ว และอยู่ระหว่างการประกาศเขตอีก 2 แห่ง ประกอบด้วย
1. นิคมอุตสาหกรรมโรจนะชลบุรี 2
(เขาคันทรง) พื้นที่ 902.59 ไร่
มูลค่าการลงทุน 2,100 ล้านบาท
2.นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน
อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ชลบุรี พื้นที่ 1,319.89 ไร่ มูลค่าการลงทุน 2,447.75
ล้านบาท
สำหรับภาพรวมการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของ
กนอ.ทั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานรวม 61
แห่ง และท่าเรืออุตสาหกรรม 1 แห่งใน 17 จังหวัด เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่
กนอ.ดำเนินการเอง 14 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน 47 แห่ง
ทั้งนี้ในช่วง 8
เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ต.ค.2562-พ.ค.2563)
กนอ.มียอดขายหรือเช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 1,696.92
ไร่ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.86% มีการแจ้งเริ่มกิจการใหม่ 114 โรงงาน
เกิดการจ้างงานเพิ่ม 12,019 คน โดยยอดการขายหรือเช่าพื้นที่ที่ลดลงเพราะการระบาดของโควิด-19
ทำให้นักลงทุนที่ยังไม่จองที่ดินและมัดจำกับผู้พัฒนาที่ดินหรือจองเช่ากับ
กนอ.ต้องยืดเวลาไปเพราะเดินทางมาไม่ได้
นักธุรกิจจีนเชื่อทุนมังกรแห่ซบไทยหนีสงครามการค้า
ประเทศไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้า
การลงทุน และท่องเที่ยว ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ น.ส.หลุ่ย
แซ่กั๊ว ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเจียระไน กรุ๊ป จำกัด
และโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย มองว่า หลังไทยผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19
มั่นใจว่ากลุ่มนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่จะพาเหรดย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซีเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าระหว่างหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงทวีความรุนแรงต่อเนื่อง
“ไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน
ที่นักลงทุนชาวจีนส่วนใหญ่มองว่าลงทุนแล้วสามารถลำเลียงส่งสินค้าไปได้ทุกเส้นทาง
ทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนด้วยกัน
ที่สำคัญไทยและจีนถือว่าเป็นชาติพันธมิตรมานานนับร้อยปี
ไม่เคยมีความขัดแย้งระหว่างกัน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในประเทศไทย
เมื่อเข้ามาลงทุนแล้วเกิดความสบายใจ”
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
น.ส.หลุ่ย เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวจะฟื้นตัวรวดเร็ว เพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนจะหวนกลับมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากกว่าเดิม
จากที่เดินทางมาเยือนไทยปีละกว่า 10 ล้านคน อาจเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว เนื่องจากชาวจีนเริ่มให้ความมั่นใจกับระบบสาธารณสุขของไทยที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการดูแลประชาชน
ทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ในประเทศไทยอยู่ในวงจำกัดจนชาวจีนและทั่วโลกทึ่งกับประเทศไทย จึงกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่
เช่นเดียวกับโครงการอีอีซีที่นักลงทุนจีนต่างสนใจเข้าไปลงทุนด้วยไม่ขาดสาย
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 โครงการอีอีซี คือหัวใจสำคัญในการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุนด้วย เนื่องจากรัฐบาลปลดล็อกหลากหลายเงื่อนไขเพื่อให้เอื้อกับนักลงทุนในการเข้ามาลงทุน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว