เทรนด์ธุรกิจแนวรักษ์โลก
ยังคงเป็นกะเทรนด์ที่ธุรกิจทั่วโลกได้มีการปรับตัวขนาดใหญ่
โดยที่ผ่านมาหากศึกษาในด้านนี้จะเห็นว่าแบรนด์ใหญ่ระดับโลกหลายราย ต่างขยับเพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น
ล่าสุดบริษัท Adidas ซึ่งมีการผลิตสินค้าเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์กีฬาเป็น จำนวนกว่า 900 ล้านชิ้น ในจำนวนดังกล่าวหากคิดเฉพาะรองเท้าผ้าใบมีจำนวนมากถึงกว่า 400 ล้านคู่ โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าอุปกรณ์กีฬาคุณภาพสูงสำหรับวงการการออกกำลังกาย ซึ่งวัสดุที่ใช้ในการผลิตสินค้ามักจะเป็นกลุ่มพลาสติกโพลิเมอร์ (Plastic Polymers) เนื่องจากมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สามารถนำไปผลิตสินค้าได้ หลากหลายชนิด เช่น แผ่นโฟมรองเท้า และผ้าลดการเก็บความชื้นสำหรับเสื้อผ้ากีฬา เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นจากการใช้วัสดุพลาสติกในการผลิตสินค้าคือ
ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
อีกทั้งวัสดุพลาสติกที่ใช้ในการผลิตสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้าในปัจจุบันก็ ยังไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ดังนั้นขยะดังกล่าวจึงมักถูกทิ้งตามแหล่งถมขยะ (Landfills) หรืออาจจะร้ายแรงถึงขั้นกลายไปเป็นขยะในท้องทะเล
ข้อมูลจาก
The Ellen MacArthur
Foundation รายงานว่า
สินค้าในวงการแฟชั่นกว่าร้อยละ 60 ถูกผลิตมาจากวัสดุพลาสติกซึ่งไม่สามารถย่อยสลายได้
โดยบริษัท Adidas ได้เล็งเห็นปัญหาดังกล่าวจึงได้วางแผนที่จะลดขยะจากวัสดุพลาสติกให้ได้ภายในทศวรรษหน้า
โดยแผนการระยะสั้นบริษัทฯ จะผลิตสินค้าจากวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น
ส่วนแผนการระยะยาวบริษัทฯ
วางแผนที่จะเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ในการผลิตสินค้าทดแทน
รวมทั้งการออกแบบและพัฒนาสินค้า โดยใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable) และการใช้วัสดุจากการรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติกและขยะพลาสติกจากทะเลมากขึ้น
โดยตั้งเป้าที่จะใช้โพลีเอสเตอร์จากการรีไซเคิล ในการผลิตสินค้าอย่างน้อยร้อยละ 50
ภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 100 ภายในปี 2567
นอกจากนี้
Adidas จะเปิดตัวฉลากสินค้าแสดงข้อมูลแหล่งที่มาของโพลีเอสเตอร์ด้วย
โดยจะแบ่ง ออกเป็น “PrimeGreen”
เป็นโพลีเอสเตอร์จากขวดน้ำพลาสติกรีไซเคิล
และ “PrimeBlue” เป็นไพลีเอสเตอร์จากขยะ พลาสติกในทะเล
ทั้งนี้ บริษัทฯ อาจจะมีความต้องการใช้พลาสติกรีไซเคิลในการผลิตสินค้ามากกว่าที่ผู้จัดจำหน่าย
วัสดุจะมีกำลังการผลิตในปัจจุบัน
นับเป็นประเด็นที่ค่อนข้างท้าทาย
เนื่องจากในตลาดยังมีความต้องการ ใช้ PVC และ โฟม PU ประเภทรีไซเคิลในปริมาณที่จำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณความต้องการใช้โพลีเอสเตอร์
รีไซเคิลที่ผู้ประกอบการในวงการแฟชั่น หลายรายต่างหันไปเลือกใช้เป็นวัสดุในการผลิตสินค้า
จึงทำให้ผู้ผลิตในตลาด
มุ่งผลิตและพัฒนาคุณภาพของวัสดุโพลีเอสเตอร์มากกว่าโพลิเมอร์
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน
แบรนด์จึงต้องปรับ
ประเด็นข้างต้นสำหรับกรณีของการปรับให้ธุรกิจเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น
ไม่เพียงเป็นข้อกำหนดขอประชาคมโลกที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงการผลิตที่เป็นมิตรต่อโลก ขณะเดียวกันสิ่งที่ส่งผลให้แบรนด์ต้องปรับธุรกิจให้เป็นมิตรต่อโลกขนาดใหญ่นั้น
มาจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของคนรุ่นใหม่
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
ในช่วงที่ผ่านมากระแสความนิยมสินค้าแฟชั่นรวดเร็ว ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกัน
เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักว่า
ขยะจากสินค้าแฟชั่นเป็นต้นเหตุ
สำคัญที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและการใช้แรงงานทาส
และได้จุดประกายกระตุ้นให้เกิดกระแสการ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรับผิดชอบต่อสังคมให้เริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรรุ่น
ใหม่กลุ่ม Millennials และกลุ่ม Generation Y ที่หันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการรับผิดชอบต่อสังคม
และมักจะเลือกที่จะบริโภคและสนับสนุนกลุ่มสินค้าแฟชั่นยั่งยืน (Sustainable
Fashion) จากผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญหรือชูจุดเด่นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม
การแปรรูปขยะจากอุตสาหกรรม การดูแลสวัสดิการแรงงานใน
กระบวนการผลิตอย่างเป็นธรรมมากขึ้น และการตอบแทนหรือช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น
ทั้งนี้คาดว่า ‘ตลาดสินค้าแฟชั่นยั่งยืน’ ในสหรัฐฯจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 10 ปี จากมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 เป็นมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 166 ในปี 2571 ซึ่งถือเป็นตลาดสินค้าศักยภาพที่น่าจับตามองในอนาคต
สำหรับผู้ผลิตและแบรนด์ในประเทศไทย ด้วยแนวโน้มตลาดที่ผู้บริโภคหันไปสนใจบริโภคสินค้ายั่งยืนมากขึ้น
น่าจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักและเริ่มปรับตัวเข้าสู่การทำธุรกิจแบบยั่งยืนเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในอนาคต
โดยประเทศไทยเองเป็นประเทศที่มีการสร้างขยะพลาสติกออกสู่สิ่งแวดล้อมในปริมาณมาก หากผู้ประกอบการสามารถที่จะนำขยะเหล่านั้นกลับไปผ่านกระบวนการรีไซเคิล
เพื่อผลิตผ้าหรือวัสดุสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าแฟชั่น จะส่งผลดีต่อประเทศทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต
ที่สำคัญในปัจจุบันมีสถาบันการเงินให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลกให้วงเงินสูงแถมดอกเบี้ยต่ำ
น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะใช้โอกาสนี้
เปลี่ยนธุรกิจให้มีความยั่งยืนต่อโลกมากขึ้น เพราะอย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น
เทรนด์ธุรกิจที่รักษ์โลกและยั่งยืนนี้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่เปลี่ยนตอนนี้
อีกหน่อยพฤติกรรมผู้บริโภคจะบังคับให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นจะดีกว่าถ้าเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนี้
อ้างอิงข้อมูล
: เรื่อง:
“Inside Adidas’s Ambitious Plan to End Plastic Waste in a Decade” โดย: Elizabeth Segran
: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครไมอามี