การประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นของ
"นายชินโซ อาเบะ" เมื่อวันที่ 28
สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมาจากเหตุผลด้านสุขภาพ ได้สร้างตื่นตระหนกต่อภาคส่วนต่างๆ
ไม่น้อย ด้วยเหตุที่นายกรัฐมนตรีอาเบะถือเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนานนับจากปี
2555
ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
การลาออกดังกล่าวเป็นการลาออกแบบยกทีม
เพื่อเปิดทางให้ "นายโยชิฮิเดะ สุงะ" เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เปรียบเสมือนมือขวาของ
"อาเบะ" ซึ่งเพิ่งจะได้รับการเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย
(แอลดีพี) พรรคที่ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในเวลาต่อมา
โดยนายสุงะจะดำรงตำแหน่งไปจนสิ้นสุดวาระที่ 2
ในเดือนกันยายน 2564
หลายฝ่ายจับตามองถึงการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศอย่างตาไม่กระพริบ โดยเฉพาะการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจหลัก "อาเบะโนมิกส์" ที่อาเบะวางไว้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ประเด็นนี้ "นายสุงะ"
ประกาศจุดยืนการทำงานว่าพร้อมจะมีนโยบายให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น
ผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน เพื่อคงระดับการจ้างงาน พร้อมทั้งระบุด้วยว่าญี่ปุ่นมีธนาคารท้องถิ่นมากเกินไป
ซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารเหล่านั้นรวมกันเป็นหนึ่ง โดยยังคงยึดนโยบายอาเบะโนมิกส์ที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้
เพื่อดึงให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากภาวะเงินฝืดให้ได้
ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ประจำกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รายงานสรุปข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่า
จะเน้น 3 เรื่องหลัก คือ
1) การสานต่อนโยบายอาเบะโนมิกส์
โดยให้ความสำคัญกับการยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19
ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
2) การปฏิรูประบบราชการ
สร้างความเข้มแข็งด้วยมาตรการต่างๆ และการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน
3) แนวคิดในการส่งเสริมและพัฒนาระบบดิจิทัล
โดยมีแนวคิดจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อบูรณาการทำงานระหว่างกัน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
ขณะเดียวกัน "นายสุงะ"
ยังได้ดำเนินมาตรการเพื่อพลิกฟื้นสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทันที โดยการ "ยกหูโทรศัพท์"
ถึงประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เพื่อหารือกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา หลังจากก้าวขึ้นรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีนมีปัญหากันอย่างมากในช่วงระยะหลัง
โดยเฉพาะกรณีความขัดแข้งในเรื่องเกาะเตียวยู/เซนกากุ
และการเยือนศาลเจ้าที่บูชาดวงวิญญาของอาชญกรสงคราม ช่วงสงครามโลกของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ซึ่งทำให้จีนไม่พอใจอย่างมาก และญี่ปุ่นก็มองจีนว่าเป็นภัยคุกคามอย่างชัดเจน
ท่าทีการแสดงออกของผู้นำในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
โดยทั้งสองมีความเห็นพ้องไปในทางเดียวกัน ที่จะมุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการลงทุนระหว่างกัน
จากก่อนหน้านี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายให้ภาคเอกชนกระจายความเสี่ยงการลงทุน
จากการขยับย้ายฐานการผลิตจากที่เคยพึ่งพาจีนเป็นหลักให้กลับมาที่ญี่ปุ่น
หรือกระจายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อกระจายความเสี่ยง
ในส่วนของประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมถึงไทย ต่างก็ต้องจับตามองการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจสองประเทศนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน เพื่อวางมาตรการและกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนเข้ามายังกลุ่มภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทยที่ต้องการการดึงดูดทั้งนักลงทุนญี่ปุ่นและจีนเข้ามายังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในฐานะที่ทั้งสองประเทศนี้ถือเป็นเจ้าตลาดที่เข้ามาลงทุนอันดับต้นๆ ของไทยเลยก็ว่าได้
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รอบใหม่ไทยอาจได้ประโยชน์
10 Megatrends อาหารเพื่อโลกที่หิวโหย