"KOSON SIAM CAPSULE DRYER" นวัตกรรมเครื่องอบแห้งการเกษตร ที่ได้รับสิทธิบัตรระดับโลก
สำหรับคนทั่วไป เมื่อพูดถึง “นวัตกรรม” คุณอาจนึกถึงเทคโนโลยีล้ำยุค เมืองอัจฉริยะ หรือห้องทดลองขององค์กรระดับโลก แต่สำหรับผู้ประกอบการรายหนึ่งจากจังหวัดอยุธยา นวัตกรรมกลับเริ่มต้นจาก “สังกะสีและเตาอั้งโล่” ธรรมดา ๆ เท่านั้น
เรื่องราวของ “บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด” บริษัทในเครือ “โฆสน กรุ๊ป” ภายใต้การบริหารของ “คุณภากร โฆสนสิทธิวิทย์” คือบทพิสูจน์ว่า SME ไทยที่ไม่ได้มีทีม R&D ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล และไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมใด ๆ สามารถสร้างนวัตกรรมที่ได้รับการจดสิทธิบัตรระดับโลกจาก 15 ประเทศได้ หากมีหัวใจที่กล้าคิด กล้าลอง และไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกลยุทธ์เบื้องหลังความสำเร็จของ SME ไทย ที่มองเห็น Pain Point เป็นโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจของตน แต่เพื่อเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงงาน และระบบนิเวศของอุตสาหกรรมทั้งประเทศ
จุดเริ่มต้นของการปรับตัว เมื่อ Pain Point กลายเป็นโอกาส
บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 โดยคุณภากร โฆสนสิทธิวิทย์ จุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากธุรกิจครอบครัวที่เน้นการเพาะปลูกมันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพด ก่อนขยายมาสู่การทำลานตากแห้ง การใช้เครื่องอบแห้งระบบ LSU ที่มีอยู่ในตลาดไทย และพัฒนาเป็นผู้รวบรวมพืชผลเพื่อส่งออก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผลักดันให้บริษัทเข้าสู่เส้นทางนวัตกรรม คือ ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก พร้อมกับปัญหาที่สั่งสมในใจคุณภากรมานาน นั่นคือ การตากพืชผลทางการเกษตรด้วยลานปูนตามธรรมชาติ ทำให้คุณภาพสินค้าไม่สม่ำเสมอและใช้พื้นที่ในการตากเยอะ เครื่องอบในรูปแบบเก่ายังมีเตาเผาให้ความร้อนแบบดั้งเดิม ที่ก่อให้เกิดมลภาวะส่งผลต่อชุมชนโดยรอบ ตลอดจนต้นทุนกระบวนการอบแห้งผลผลิตทางการเกษตรสูง ทั้งหมดกลายเป็น Pain Point ที่ต้องเร่งหาทางแก้
จากการทดลองด้วยสังกะสีและเตาอั้งโล่ สู่นวัตกรรมที่ได้รับสิทธิบัตรระดับโลก
หลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมมาได้ คุณภากรจึงเริ่มต้นการทดลองแบบง่าย ๆ โดยไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีล้ำสมัยใด ๆ เลย
“ตอนนั้นไม่มีอะไรหรอกครับ ก็เอาสังกะสีมากั้นเป็นกระบะและห้องกั้นลม แล้วให้ช่างมานั่งจุดเตาอั้งโล่ เอามันสำปะหลังมาสับ ๆ แล้วก็ใช้พัดลมเป่าลมร้อนเข้าไปข้างใน ปรากฏว่าไม่กี่ชั่วโมงมันก็แห้ง ตอนนั้นละครับที่เริ่มคิดว่า เออ...มันก็ทำได้นี่”
จากการทดลองเล็ก ๆ ครั้งนั้น กลายเป็นแรงผลักดันให้คุณภากรเริ่มค้นคว้าอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาระบบอบแห้งจากต่างประเทศ พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ คณาจารย์ตามมหาวิทยาลัย ศึกษาผ่านเว็บไซต์ และค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์องค์ความรู้ด้วยตนเอง ตั้งแต่ระบบ LSU, Column, Conveyor, Rotary ไปจนถึงระบบ Fluidized Bed จนนำมาสู่การพัฒนา “เครื่องอบแห้ง KOSON SIAM CAPSULE DRYER” ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศในอาเซียน รวม 15 ประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่เริ่มต้นจากปัญหาเฉพาะจุดในแวดวงการเกษตรไทย สามารถต่อยอดเป็นเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่โลกต้องจับตามอง
3 เสาหลักของนวัตกรรมเครื่องอบแห้ง KOSON SIAM CAPSULE DRYER
หนึ่งในหัวใจของนวัตกรรมเครื่องอบแห้ง KOSON SIAM CAPSULE DRYER คือ การออกแบบที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจจริงในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ “ทำได้” แต่ต้อง “คุ้มทุน ใช้งานได้จริง ปรับเปลี่ยนได้ และขยายต่อได้ในอนาคต” โดยโครงสร้างของเครื่องอบแห้งได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด 3 ประการหลัก ได้แก่ Modular, Multi-Purpose และ Reloop System กล่าวคือ
Modular Design สามารถปรับขนาดได้ตามธุรกิจ
เครื่องอบแห้ง ได้รับการออกแบบให้เป็นระบบ Modular (แยกส่วน) ที่ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนแคปซูลได้ตามกำลังผลิตจริง โดยไม่ต้องลงทุนก่อสร้างโรงอบขนาดใหญ่แบบเดิม ซึ่งมีต้นทุนแฝงสูง ทั้งค่าเสาเข็ม โครงสร้าง ค่าพื้นที่ และระบบระบายอากาศ
แคปซูล 2 หน่วย สามารถทดแทนลานตากประมาณ 20 ไร่ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือหากเป็นโรงงานขนาดใหญ่ สามารถขยายแคปซูลได้ตั้งแต่ 10–20 หน่วย
ช่วยลดพื้นที่ใช้สอย จากเดิมที่ลานตากต้องใช้พื้นที่หลายหมื่นตารางเมตร เครื่องอบแห้งใช้พื้นที่เริ่มต้นเพียงประมาณ 400-600 ตารางเมตรเท่านั้น
แคปซูลแต่ละหน่วยสามารถควบคุมความร้อน การไหลของวัตถุดิบ ความเร็วลม และระยะเวลาอบได้ต่างกัน
Multi-Purpose อบได้หลายชนิด ทั้งพืชผลและวัสดุอุตสาหกรรม
เครื่องอบแห้งสามารถปรับใช้ได้กับวัตถุดิบหลายประเภท ทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม รองรับวัตถุดิบได้หลากหลายที่มีความชื้นสูงและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
พืชผลทางการเกษตร เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวเปลือก เมล็ดโกโก้ เมล็ดกาแฟ และพริกเป็นต้น ซึ่งล้วนต้องการระดับความร้อนเฉพาะตัว และการควบคุมความชื้นที่แม่นยำ
วัสดุอุตสาหกรรม เช่น ปุ๋ย แร่ ชีวมวล กากตะกอนจากโรงงานปาล์มและกากแป้งจากโรงแป้ง ซึ่งมีความชื้นสูง
ระบบ Reloop ลมร้อน ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อีกหนึ่งความโดดเด่นของเครื่องอบแห้ง คือ ระบบ Reloop ลมร้อน แตกต่างจากระบบอบแห้งทั่วไปที่มักปล่อยลมร้อนทิ้งออกสู่ภายนอก ก่อให้เกิดฝุ่นเขม่าและสูญเสียพลังงานจำนวนมาก ในขณะที่ระบบ Reloop เสมือนเป็นระบบปิดมีกระบวนการทำงานดังนี้
หมุนเวียนลมร้อนกลับมาใช้ซ้ำ ช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง 40-50%
ระบบมีตัวกรองฝุ่นละเอียดแบบแยกฝุ่น เขม่า สะเก็ดไฟ แล้วแปรรูปเป็นปุ๋ยหรือวัสดุอื่นได้ กลายเป็น “Waste to Value” แบบครบวงจร
ใช้พลังงานชีวมวล เช่น ไม้ฟืนจากชาวบ้าน เหง้ามันสำปะหลัง แกลบ หรือซังข้าวโพด แปรรูปเป็น Syngas หรือก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จากการเผาไหม้ชีวมวลในสภาวะควบคุม ที่สะอาดและปลอดภัย และสามารถปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงตามท้องถิ่นหรือโรงงานต้นทางได้อย่างยืดหยุ่น
จากกลยุทธ์เชิงลึกทั้ง 3 ด้านนี้ ทำให้ บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด ไม่ใช่แค่ธุรกิจที่นำเสนอเครื่องจักร แต่ยังนำเสนอ “ระบบโซลูชันครบวงจร” ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการทำแห้งให้กลายเป็นระบบที่ควบคุมได้ มีประสิทธิภาพสูง ใช้พื้นที่น้อย และเป็นมิตรต่อสังคมรอบข้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการตอบโจทย์ Pain Point ที่ฝังรากลึกในภาคการเกษตรไทยมาอย่างยาวนาน
การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ผลงานวิจัย และวิสัยทัศน์
แม้จะไม่ได้มีทีมวิจัยขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้น ทว่า บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด กลับสามารถพิสูจน์ได้ว่า การมีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย การยึดถือข้อมูลจริง และการไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำอีก คือองค์ประกอบสำคัญของนวัตกรรมที่ใช้การได้จริงในโลกธุรกิจ
ทีม R&D ของบริษัท เริ่มต้นจากช่างเชื่อมในท้องถิ่นและวิศวกรที่บริษัทเพียง 2 - 3 คน ผนวกกับ “จินตนาการ” และ “ความพยายาม” ของคุณภากรที่ลงมือเองในแทบจะทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การวิเคราะห์ปัญหา ไปจนถึงการทดสอบใช้งานกับวัตถุดิบจริงในแต่ละฤดูกาล การพัฒนานวัตกรรมจึงไม่ใช่แค่กระบวนการออกแบบเครื่องจักรให้ใช้งานได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสังเคราะห์ปัญหาเชิงระบบที่ฝังรากลึกในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการทำแห้ง แล้วแปลงให้กลายเป็นโซลูชันที่ยั่งยืน
เหนือสิ่งอื่นใด กระบวนการวิจัยและทดลองอย่างไม่รู้จบนี้ กลายเป็น “แหล่งพลังงานใจที่สำคัญ” สำหรับคุณภากร “พอได้เริ่มศึกษา เริ่มอ่าน เหมือนเราเจออะไรบางอย่างที่มีเสน่ห์อยู่ข้างใน... จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยหยุดคิดเลยครับ เพราะมีอะไรให้วิเคราะห์ ให้ขบคิดตลอดเวลา และทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าจริง ๆ”
แม้จะไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่นักวิจัยมืออาชีพ แต่การได้ลงมือคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาด้วยตัวเองในแต่ละวัน คือสิ่งที่ทำให้คุณภากรมีความสุข และไม่เคยเบื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว “บางเรื่องเราก็แก้ไม่ได้เลย อยู่กับมัน 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง ทำแล้วทำอีก ล้มแล้วก็ล้มอีก จนวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วคิดออก วินาทีนั้นละครับ คือความสุขที่บอกไม่ถูกเลยจริง ๆ”
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในลานบ้านหลังน้ำท่วม กลายมาเป็นนวัตกรรมเครื่องอบแห้งที่พัฒนาอย่างจริงจังจนได้ สิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา และอีก 14 ประเทศทั่วโลก และที่สำคัญกว่านั้น ผลงานชิ้นนี้ยังได้รับการรับรองจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ด้วยรางวัลชนะเลิศในเวทีประกวดนวัตกรรมระดับประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันคุณค่าของสิ่งที่คุณภากรและทีมลงมือสร้างมาด้วยความตั้งใจ
(ข้อมูลเพิ่มเติม : วิดีโอแนะนำเครื่องอบแห้ง KOSON SIAM CAPSULE DRYER)
นอกจากนี้ บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด ยังมีแผนบุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยกำลังนัดหมายกับผู้ประกอบการจากเนปาล อินเดีย และหลายประเทศในอาเซียน เพื่อเดินหน้าส่งออกเครื่องอบแห้ง KOSON SIAM CAPSULE DRYER ที่เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบโดย SME ไทย เพื่อแก้ปัญหาการทำแห้งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค
ทั้งหมดนี้คือก้าวแรกของการผลักดันนวัตกรรม “KOSON SIAM” สู่เวทีโลก ภายใต้หลักคิด “Sustainable, Innovation, Agriculture และ Machine Development” ที่ไม่เพียงแค่ยกระดับคุณภาพการผลิตในประเทศ แต่ยังพร้อมเป็นต้นแบบในการพัฒนาเทคโนโลยีภาคการเกษตรและพลังงานในท้องถิ่นที่ยืดหยุ่น ใช้งานได้จริง และปรับใช้ได้กับสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ทั่วโลก
“สิ่งที่เราวิจัยหรือสร้างขึ้นมาจากปัญหาที่เราพบ ไม่ได้ตอบโจทย์เราเพียงคนเดียว
แต่กลับช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นได้อีกมากมาย ตรงนี้ละครับคือความสุขที่แท้จริง”
เรื่องราวของ บริษัท เค.เอส.พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด สะท้อนให้เห็นว่า “การสร้างนวัตกรรม” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับ SME ไทย แต่เป็นทักษะที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถเรียนรู้และต่อยอดได้ หากเริ่มต้นจากการเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง
คุณภากรอาจไม่ใช่นักวิจัยตามหลักทฤษฎี ไม่ได้เริ่มต้นจากห้องแล็บที่มีงบวิจัยมหาศาล แต่สิ่งที่เขามีคือ สายตาที่มองเห็นปัญหา และความกล้าที่จะลงมือทำ คุณภากรพยายามทำความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมหาทางออกโดยอาศัยข้อเท็จจริงมากกว่าความเชื่อส่วนตัว แม้จะเกิดข้อผิดพลาด เราต้องกล้ายอมรับข้อผิดพลาดนั้น ล้มแล้วต้องเรียนรู้ ลองทำแล้วปรับปรุง และเหนือสิ่งอื่นใด เราต้องมีความอดทนที่จะอยู่กับปัญหาได้นานพอจนเห็นแนวทางและคำตอบที่ชัดเจน
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของ SME ที่แม้จะเริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ อาจไม่มีต้นทุนสูง ไม่มีทีมวิจัยใหญ่โต แต่ถ้ามีความเข้าใจในโจทย์ปัญหา มีวินัยในการลงมือทำ และไม่หยุดพัฒนา โอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคง จนกลายเป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง