ปัจจุบันบ้านเรายังอยู่ในห้วงการระบาดของโควิด
19
หัวอกของคนเป็นพ่อแม่คงหนีไม่พ้นจากความห่วง กังวล ไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บป่วยด้วยโรคนี้
อยากดูแลบุตรหลานที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ ให้มีสุขภาพแข็งแรงปลอดภัย
ซึ่งการดูแลสุขภาพของลูกนอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
โดยสามารถช่วยให้ลูกมีสุขภาพจิตดี รู้สึกมั่นคงปลอดภัย ด้วย 4 เทคนิค ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. สังเกตและรับฟังเด็ก
พ่อแม่ควรสังเกตและเปิดโอกาสให้เด็กได้ระบายความรู้สึก
เช่น หงุดหงิด งอแง กลัว เศร้า ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เช่น การเล่น
การวาดภาพในบรรยากาศที่ปลอดภัย ให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้พ่อเเม่ควรลองสวมบทบาทสมมุติกับลูก
พูดคุยตามคาเเรกเตอร์ เพื่อสังเกต - ทำให้เด็กเปิดใจเล่าในสิ่งที่รู้สึกออกมา
2. ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
ถ้าเด็กต้องถูกแยกจากพ่อแม่หรือผู้ดูแล
เพราะพ่อแม่ ผู้ดูแลถูกกักตัว หรือเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล พ่อแม่หรือผู้ดูแลต้องมั่นใจว่ามีการดูแล
ติดตามเด็ก ติดต่อเด็กอย่างส่ำเสมอ เช่น โทรศัพท์หรือวิดีโอคอล 2
ครั้งต่อวัน หรือใช้รูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับอายุเด็ก
เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
3. จัดสรรเวลาให้ลูก เหมาะสมกับช่วงวัยและพัฒนาการ
ผู้ปกครองอาจแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับลูกตามช่วงวัยดังนี้
- กิจกรรมสำหรับทารกหรือเด็กเล็ก
เช่น เลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง ร้องเพลง ใช้ช้อนเคาะจังหวะ
เล่าเรื่องราวนิทานหรือให้ดูรูปภาพ หรือ เล่นโมบายแขวน
- กิจกรรมสำหรับเด็กโต เช่น อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง พาเดินเล่นในบริเวณบ้าน เต้นรำ ร้องเพลง
เล่นบทบาทสมมติ ทำงานบ้าน หรือ ทำอาหารด้วยกัน
- กิจกรรมสำหรับเด็กวัยรุ่น
พูดคุยในสิ่งที่ลูกๆ ชอบ เช่น กีฬา ดนตรี ดารา เพื่อนฝูง ออกกำลังกายด้วยกัน
เล่นเกมส์ หรือชมภาพยนต์ร่วมกัน โดยให้อิสระแก่ลูกในการเลือกกิจกรรมต่างๆ
ตามความชอบและความถนัด
4. สังเกตอารมณ์ตนเองและจัดการ
ในสถานการณ์วิกฤต เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเครียดได้
พ่อแม่หรือผู้ดูแลต้องมีวิธีการจัดการกับอารมณ์ของตนเองที่เหมาะสม เช่น
เมื่อรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธ ควรสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะพูดคุยกับบุตรหลาน
ระมัดระวังในการใช้คำพูดโดยใช้อารมณ์ พ่อแม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับโรคโควิด 19
กับลูกได้โดยอธิบายใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับอายุเด็ก
ถ้าพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูสามารถปฏิบัติตามเทคนิค
4
วิธีนี้ และหมั่นทำทุกวัน
เชื่อว่าลูกที่รักจะต้องสามารถปรับตัวและเผชิญ จนผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้ไปได้อย่างมีสุขภาพจิตที่ดี
พูดถึงสถานการณ์โควิด 19
ให้ลองสนทนาในเรื่องนี้เพราะพวกเขาอาจได้ยินข่าวแล้ว
การปิดเงียบและเก็บเป็นความลับไม่สามารถปกป้องลูกๆ ของเราได้
แต่ความจริงใจและการเปิดใจช่วยได้มากกว่า
พิจารณาดูว่าพวกเขาจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
- ให้เปิดใจและรับฟัง
: ให้ลูกของคุณพูดได้อย่างอิสระ
ให้ถามคำถามปลายเปิดและประเมินว่าพวกเขารับรู้มากน้อยเพียงใด
- จริงใจ : ตอบคำถามของพวกเขาอย่างจริงใจ
ประเมินว่าลูกของคุณอายุเท่าไรและจะเข้าใจสถานการณ์ได้มากน้อยเพียงใด
- ให้กำลังใจ : ลูกของคุณอาจรู้สึกกลัวหรือสับสน
ให้พื้นที่กับพวกเขาในการแบ่งปันความรู้สึกและทำให้พวกเขาทราบว่าคุณอยู่กับพวกเขา
- ไม่เป็นไรหากไม่ทราบคำตอบ
: ไม่เป็นไรหากต้องพูดว่า “เราไม่รู้เลย
แต่เราพยายามกันอยู่ หรือ “เราไม่รู้เลยแต่กำลังหาหนทางอยู่”
ให้ใช้โอกาสนี้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากลูกของคุณ
- ฮีโร่จะไม่ถูกรังแก
: อธิบายว่าโควิด ไม่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ของผู้คน
ไม่ว่าจะมาจากที่ใดหรือพูดภาษาใด
บอกลูกของคุณว่าควรจะเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยและผู้ดูแลพวกเขา
ให้เล่าเรื่องราวของบุคคลากรที่ทำงานเพื่อยับยั้งโรคระบาดและผู้ดูแลผู้ป่วยเหล่านี้
- มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
: บางเรื่องราวอาจไม่จริง ให้อ้างอิงจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เช่น
องค์กรยูนิเซฟ และองค์การอนามัยโลก
- ปิดการสนทนาด้วยคำพูดที่จริงใจ
: ประเมินว่าลูกของคุณสบายดีหรือไม่
บอกพวกเขาว่าคุณเป็นห่วง และเขาสามารถพูดคุยกับคุณได้ตลอดเวลา
และให้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนาน
3 กิจกรรม แนะนำสำหรับเด็ก
ในช่วงที่ทุกคนอยู่บ้านจะจัดการระเบียบชีวิตอย่างไรดี
จะทำอย่างไรให้ทุกคน ลดเครียดเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าที่บ้านมีเด็กๆ อาศัยอยู่ด้วย
มีหลักคิดสำคัญคือ ไม่ว่าจะจัดกิจกรรมใดให้เด็กต้องสร้างความเพลิดเพลิน
สนุกสนานแทรกอยู่ด้วยเสมอ โดยกิจกรรม 3 เสริม สำหรับเด็กๆ ได้แก่
1. เสริมความรู้
ให้เด็กรู้ว่าจะป้องกันไวรัสโควิด 19
อย่างไรด้วยนิทาน หรือเป็นคลิปให้เด็กดู
ซึ่งมีหลายคลิปที่เป็นความรู้ง่ายๆ สำหรับเด็ก อาจวาดเป็นภาพการ์ตูน
ให้เราสนุกกับการทดลองง่ายๆ เช่น ล้างมืออย่างไรให้สะอาดหมดจดโดยใส่ถุงมือ
เอาสีมาทาให้ทั่วทั้งฝ่ามือและหลังมือ
แล้วสาธิตให้เด็กเห็นว่าจะต้องล้างมืออย่างไร ให้เด็กได้ลองทำด้วย เขาจะสนุกกับการทดลอง
2. เสริมงานบ้าน
แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบงานบ้านให้กับเด็กตามความเหมาะสมกับอายุของเขา
ตั้งรางวัลหรือให้ดาวสำหรับงานบ้านที่ทำได้สม่ำเสมอตลอดสัปดาห์ สำหรับงานบ้านที่ทำได้เรียบร้อย
การทำงานบ้านจะช่วยให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น นิ้วมือ
เรียนรู้การรู้จักรับผิดชอบ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
3. เสริมการเล่น
การเล่นคือการเรียนรู้ของเด็ก มี 2 แบบ คือ
- ทำเล่นๆ เป็นประโยชน์
ให้เด็กสนุกกับการทำกิจวัตรประจำวัน ยกตัวอย่าง แข่งกันว่าใครจะเก็บเตียง
พับผ้าได้เรียบร้อยกว่ากัน ใครจะแปรงฟันได้สะอาดกว่ากัน เวลาเก็บจาน
จานใหญ่อยู่ล่าง จานเล็กอยู่บน ก็สอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องขนาด การนับเลข เป็นต้น
- เล่นสนุกๆ ให้เด็กแต่งมุมการเล่นของเขาเอง
สร้างสรรค์ของเล่นจากวัสดุรอบตัวหรือคิดการเล่นแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมา
แหล่งอ้างอิง : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข, องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย