เมื่อเร็วๆ นี้ทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐที่ออกใหม่
ได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบผู้ย้ายถิ่นฐานและนักท่องเที่ยวให้เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อความปลอดภัย
โดยได้ขอให้ผู้ยื่นขอวีซ่าเกือบทุกคนต้องยื่นข้อมูลโซเชียลมีเดียของตนเองประกอบคำร้องด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ จะใช้ตรวจสอบประวัติของผู้ยื่นขอวีซ่า ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ที่อยู่อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานะการเดินทางระหว่างประเทศและการถูกส่งตัวกลับในช่วง 5 ปีเช่นกัน อีกทั้งยังต้องรายงานข้อมูลว่ามีสมาชิกรายใดในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมก่อการร้ายหรือไม่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯระบุว่า
“เราให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติเป็นลำดับแรกเมื่อพิจารณาคำร้องขอวีซ่า
นักท่องเที่ยวและผู้ย้ายถิ่นฐานทุกคนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบด้านความมั่นคงอย่างเข้มข้น
ทั้งกำลังมองหากลไกที่จะช่วยปรับปรุงกระบวนการคัดกรองอยู่เสมอ
เพื่อปกป้องชาวอเมริกัน และสนับสนุนการเดินทางอย่างถูกกฎหมายมายังสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามนโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถูกเสนอมาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และเพิ่งมีผลหลังแบบคำร้องขอวีซ่าฉบับแก้ไขใหม่ได้รับการอนุมัติ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นมีเพียงผู้ยื่นขอวีซ่าที่เป็นนักการทูตและข้าราชการบางส่วนเท่านั้น
โดยนโยบายนี้จะใช้กับผู้ยื่นขอวีซ่าเกือบทุกคนที่ยื่นขอวีซ่าถาวร
(immigrant visa) และวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (nonimmigrant visa) รวมทั้งผู้ที่ยื่นขอวีซ่าเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจและทางการศึกษา
ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ประเมินว่านโยบายใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ยื่นขอวีซ่าถาวรจำนวน
710,000 คน และผู้ยื่นขอวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราวอีก 14 ล้านคนต่อปี
ทั้งในอดีตสหรัฐฯ
เคยมีมาตรการที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้
แต่ก็ส่งผลให้ผู้ยื่นขอวีซ่าที่ต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดมีเพียงราว 65,000
คนต่อปีเท่านั้น ตัวอย่างผู้ที่เข้าข่ายมาตรการในอดีตเช่น
ผู้ที่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยผู้ก่อการร้าย
ทั้งนี้
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ประกาศขอโซเชียลมีเดียไว้ทั้งหมด 20
แพลตฟอร์มด้วยกัน ซึ่งในจำนวนนั้นมีโซเชียลมีเดียที่คนไทยคุ้นเคย เช่น เฟซบุ๊ก
ฟลิกเกอร์ กูเกิลพลัส อินสตาแกรม ลิงค์อิน มายสเปซ พินเทอเรสต์ เรดดิท
ซินล่างเว่ยโป๋ ทวิตเตอร์ ทัมเบลอร์ และยูทูบ ส่วนในอนาคตอาจมีรายชื่อเพิ่มขึ้นอีก
อ้างอิง : China Xinhua News