การผลัดเปลี่ยนคนประจำเรือ (Crew Change) นับเป็นเรื่องใหญ่และที่ต่างประเทศให้สนใจมาก
แต่ในประเทศไทยกลับมีข้อมูลที่จำกัดอยู่ในเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น
ทั้งยังไม่เป็นที่น่าสนใจในหน้าสื่อหลักที่มุ่งประเด็นที่ทางสังคมในประเทศมากกว่า
แต่ทราบหรือไม่ว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผลพวงจากการระบาดของโควิด 19
มีลูกเรือที่ทำงานในเรือเดินสมุทร แท่นขุดเจาะ
ต้องติดค้างไม่สามารถขึ้นฝั่งได้นับหลายแสนคน ซึ่งในจำนวนนี้มีลูกเรือไทยรวมอยู่ด้วยไม่น้อย
ปัญหาเหล่านี้ คนเรือ หรือคนที่ทำธุรกิจด้านขนส่งทางทะเลจะทราบดี และเรียกว่า ‘Crew Change Crisis’ โดยในช่วงการระบาดอย่างรุนแรงตอนต้นปี 2563 ทุกประเทศได้ออกกฎหมาย ข้อกำหนดห้ามสับเปลี่ยนลูกเรือ ห้ามลูกเรือขึ้นฝั่งทุกเมืองท่า ทั้งออกมาตรการความปลอดภัย (Quality And Safety) ป้องกันการระระบาดของไวรัสโควิด 19 ให้คนประจำเรือ ทำให้ที่ผ่านมาหากเกิดปัญหาคนประจำเรือเจ็บป่วย การจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งไปพบแพทย์ได้หรือไม่นั้น เป็นไปอย่างล่าช้า และขึ้นอยู่กับกฎหมายและข้อกำหนดของเมืองท่าแต่ละประเทศ ตลอดจนดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัญหาที่ตามมา คือทำให้คนประจำเรือต้องทำงานเกินกว่าเวลาสูงสุดที่กำหนดให้ทำงานบนเรือได้
ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2549 (MLC 2006–Maritime
Labour Convention 2006) ที่มีข้อกำหนดให้คนประจำเรือต้องมีระยะเวลาทำงานบนเรือไม่เกิน
12 เดือน
รวมถึงปัญหาเอกสารการทำงานของคนประจำเรือหมดอายุกลางทะเล อาทิ
ใบอนุญาตประจำวิชาชีพของคนประจำเรือ หนังสือเดินทาง หนังสือคนประจำเรือ
ใบรับรองการตรวจสุขภาพ ฯลฯ
ตลอดจนปัญหาด้านสภาพจิตใจอันเนื่องจากการทำงานในทะเลเป็นเวลานาน
ด้านเจ้าของเรือตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นเดียวกัน
การปิดเมืองท่าบางแห่งทำให้เรือไม่สามารถเข้าเทียบท่าเพื่อขนส่งสินค้า
และต้องเปลี่ยนเมืองท่ากะทันหัน ทั้งยังต้องประสบปัญหาจากมาตรการการจำกัดการเดินทาง
และการไม่มีเครื่องบินพาณิชย์ให้บริการ
ทำให้เรือสามารถสับเปลี่ยนคนประจำเรือทำได้เพียงบางส่วน และไม่เป็นไปตามความต้องการแท้จริงของลูกเรือ
อันส่งผลต่อประสิทธิภาพการเดินเรือ และคุณภาพชีวิตของคนประจำเรือที่ต้องติดอยู่บนเรือนานเกินกว่าที่
MLC กำหนดไว้
ต่อมาหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้มีมาตรการอนุญาตให้เปลี่ยนคนประจำเรือเฉพาะลูกเรือที่มีสัญชาติประเทศนั้นเท่านั้น
แต่ลูกเรือต่างชาติยังห้ามมีการสับเปลี่ยนทั้งขึ้นและลงเรือ (ยกเว้นที่สิงคโปร์)
แต่การสับเปลี่ยนคนประจำเรือก็เกิดเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นที่เจ้าของเรือต้องแบกรับ
อาทิ ค่าใช้จ่ายในการกักตัว 14 วัน ของคนประจำเรือที่ขอขึ้นฝั่ง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง,
ค่าตรวจตรวจโควิด PCR TEST, ค่าตรวจ Fit
To Fly, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ค่าเบี้ยเลี้ยง และเงินพิเศษ
รวมทั้งกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น เช่น
ลูกเรือจะต้องมีหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ (Certificate Of Entry-COE) ที่ออกโดยกระทรวงต่างประเทศก่อนล่วงหน้า
เช่นเดียวกับกรณีการเดินทางกลับเข้าราชอาณาจักรไทยโดยทางเครื่องบิน หน่วยงานต่างๆ
จึงจะสามารถให้สับเปลี่ยนคนขึ้นและลงเรือได้
แถมขั้นตอนดังกล่าวมีอุปสรรคมากมายและเป็นไปอย่างล่าช้า
ขณะที่รัฐเจ้าของเรือธง (FSC-Flag State Control) และเจ้าหน้าที่ของรัฐเมืองท่า
(PSC-Port State Control) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย
ยังคงจุดยืนในการรักษาระเบียบข้อบังคับต่างๆ อย่างเข้มงวด
ทำให้เจ้าของเรือยังคงต้องหามาตรการเฉพาะหน้า
หรือแม้แต่ยอมแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อทำให้การสับเปลี่ยนคนประจำเรือ โดยงัดสารพัดวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาใช้ในทุกวิถีทางที่พอจะดำเนินการได้
เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินการขนส่งทางทะเลให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแม้โลกมีวัคซีนโควิด
19 และมีการฉีดให้ประชาชมกลุ่มเสี่ยงไปแล้วหลายประเทศ แต่ความหวังของ ‘กะลาสี’
ในการขึ้นฝั่งก็อาจต้องรอไปอีกระยะ เพราะด้วยปริมาณการติดอยู่กลางทะเลที่มากมาย
ทำให้การสับเปลี่ยนคนประจำเรือต้องใช้เวลาในการทยอยส่งลูกเรือกลับบ้านเช่นกัน
กระนั้นสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 ทั่วโลกที่คาดว่าจะบรรเทาลงได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ส่งผลต่อมาตรการและกฎระเบียบในการเดินทางข้ามพรมแดนที่ผ่อนคลายมากขึ้น และอาจเป็นข่าวดีของเหล่ากะลาสี และเจ้าของธุรกิจขนส่งทางทะเลที่จะทำให้การสับเปลี่ยนคนประจำเรือทำได้ราบรื่นมากขึ้น เพราะอย่าลืมว่าการขนส่งทางทะเลคือเส้นเลือดใหญ่ของห่วงโซ่อุปทาน หากเกิดการติดขัดหรือเกิดปัญหา ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคขนส่ง ระยะเวลาในการขนส่ง การนำเข้าส่งออก การแข่งขันทางการค้า หรือแม้แต่การขาดตอนของซัพพลายเชน ซึ่งมองในมุมนี้จะเป็นผลกระทบที่ใกล้ตัวอย่างมาก
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<