10 เทรนด์สินค้าอาหารสุขภาพในแคนาดาปี 2565 กับโอกาสทองของสินค้าไทย
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
เผย 10 สินค้าด้านอาหารที่มีแนวโน้มเติบโตในตลาดแคนาดาปี
2565 ที่ให้ความสำคัญต่ออาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูง มุ่งปกป้องสิ่งแวดล้อม
กับโอกาสทองของผู้ผลิตไทยควรศึกษาและนำมาปรับใช้ในการผลิตเพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออก
10 สินค้าอาหารมาแรง แนวโน้มเติบโตในตลาดแคนาดาปี
2565
1. รสส้มยูสุ (Yuzu)
ด้วยจุดเด่นของรสชาติส้มที่ไม่หวานมากนัก
แต่มีกลิ่นความหอมจากส้มโดยเฉพาะ อีกทั้งสรรพคุณที่มีวิตามินซีสูง
ส้มยูสุจะกลายเป็นรสชาติที่ผู้ผลิตอาหารหลายรายเลือกมาใช้แต่งกลิ่นและรสชาติอาหารสำหรับปี
2565 เช่น น้ำส้มสายชูหมัก ไอศกรีม มายองเนส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัดก๊าซ (Hard
Seltzers) และสามารถสะท้อนความต้องการผู้บริโภคในด้านสุขภาพที่ดีได้อย่างลงตัว
2. Ultraurban
Farming
การปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์หรือการปลูกผักไร้ดิน
เพราะระบบการปลูกผักวิธีนี้จะช่วยประหยัดน้ำมากกว่าการปลูกผักในดินปกติไม่น้อยกว่า
10 เท่า และยังป้องกันมลพิษที่จะเกิดขึ้นในพื้นดินจากการใช้สารเคมี
โดยปัจจุบันจึงกลายเป็นวิธีการที่นิยมปลูกกันเป็นจำนวนมาก
อีกทั้งเกษตรกรมีการนำเทคโนโลยี การจัดการมาใช้ที่ทำให้พืชผักมีความสะอาด
และสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตมากขึ้น ส่งผลให้สามารถป้อนผลผลิตสู่ตลาดอาหารในวงกว้างได้
3. Reducetarianism
สนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืนมากขึ้น
โดยการลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์
ผลิตภัณฑ์จากวัวและไข่ที่มาจากการเลี้ยงในเชิงอุตสาหกรรม
แต่เลือกซื้อเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ เช่น เนื้อวัวจากวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้า
ไข่จากแม่ไก่ที่จะปล่อยอิสระหาอาหารจากธรรมชาติ เป็นต้น
ซึ่งเทรนด์การเลือกซื้อเช่นนี้นับว่าเป็นการเสริมสร้าง สุขภาพที่ดี
ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมและทารุณกรรมจากการเลี้ยงสัตว์
4. ดอกชบา (Hibiscus)
ได้รับการยอมรับว่ามีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ด้วยรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อย และอุดมด้วยวิตามินซี
ผู้ประกอบการอาหารจึงเลือกนำมาเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ใส่ในชา โยเกิร์ต
แยมผลไม้
5.
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไร้แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 0%
ในตลาดแคนาดาพบดีมานด์ตลาดเครื่องดื่มกลุ่มนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะช่วงการเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่ผู้บริโภคมองหาเครื่องดื่มใหม่ๆ
เพื่อดื่มทดแทนเบียร์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ
สำหรับกลุ่มคนที่ไม่อยากได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์
แต่ยังคงได้ประสบการณ์การดื่มที่สนุก ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ
6. ธัญพืชจากฟาร์มรักษ์โลก
จากแนวคิดที่ผู้บริโภคต้องการสนับสนุนการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นกระแสรักษ์โลกที่มาแรงไม่หยุด
ผู้ประกอบการค้าปลีกจึงต้องสรรหาวัตถุดิบที่มาจากฟาร์มเหล่านั้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคนั้นให้ได้
เพราะเชื่อว่าเป็นอีกปัจจัยที่ผู้บริโภคจับตามอง
องค์กรธุรกิจในทุกวันนี้กับกิจกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะต่างๆ
7.
เมล็ดทานตะวันธัญพืชเพื่อสุขภาพ
จัดว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย จึงได้กลายเป็นส่วนประกอบที่ผู้ผลิตอาหารเลือกนำมาใช้สำหรับขนมขบเคี้ยว
ไอศกรีม ชีสสำหรับเทรนด์อาหารใหม่ๆ
8. ใบมะรุม (Moringa)
เป็นพืชกำเนิดในแถบใต้เชิงเขาหิมาลัยและในทวีปแอฟริกา
โดยมะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน
และผู้ประกอบการได้มีการนำมาแปรรูปแบบผงแห้งเพื่อให้ง่ายต่อการเป็นวัตถุดิบในอาหารและเครื่องดื่ม
เช่น เครื่องดื่มสมูทตี้ ซอส ขนมอบ โปรตีนบาร์ และอื่นๆ
9.
เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดาในแบบ Functional
สำหรับเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดาในแบบ Functional เช่น
โซดาสูตรผสมโปรไบโอติกส์ หรือน้ำโทนิกผสมพรีไบโอติกส์ โดยทั้งสองอย่างนั้นคือจุลินทรีย์ชนิดดีที่มาแรงในวงการอาหาร
โดยจัดเป็นกลุ่มอาหารที่เรียกว่าซูเปอร์ฟูด อาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูง
และมีคุณประโยชน์ด้านระบบย่อยอาหารเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการสิ่งใหม่ๆ
เพื่อสุขภาพ อย่างแท้จริง
10.
สมุนไพรขมิ้นชัน (Trumeric)
สมุนไพรที่นิยมในอุตสาหกรรมยาและอาหารมาเมื่อไม่นานนี้
เนื่องด้วยมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระอยู่ในตัวสมุนไพรที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดความเสื่อมของร่างกาย
และยังมีสรรพคุณที่ช่วยปรับและกระตุ้นระบบย่อยอาหารในร่างกาย
ผู้ประกอบการอาหารจึงเลือกนำมาเป็นเครื่องปรุงและส่วนผสมในเมนูใหม่ๆ
เพื่อเพิ่มประโยชน์ให้กับอาหารที่รับประทาน เช่น ซีเรียล ขมิ้นชันสมูทตี้
กะหล่ำปลีเปรี้ยว
จากเทรนด์แนวโน้มอาหารมาแรงในปี 2565 ของตลาดแคนาดา
จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่เน้นเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ การให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม
การลดขยะจากอาหาร ดังนั้นผู้ผลิต และส่งออกของไทยที่ทำตลาดแคนาดา ควรศึกษาและนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ในการผลิตอาหารของไทย
โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบสมุนไพรที่ไทยมีอยู่เป็นจำนวนมากมาเพิ่มมูลค่าในอาหารแทนที่จะส่งออกเป็นวัตถุดิบโดยตรง
ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่า และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารไทยเข้าสู่ตลาดแคนาดาได้เพิ่มขึ้น
รวมถึงตลาดโลกอื่นๆ อีกด้วย
แหล่งอ้างอิง :
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)