เพลงนี้เป็นเพลงแนวร็อค หรือที่ใครหลาย ๆ คนรู้จักกันในแนว Brit Pop เป็นเพลงจากวงดนตรีร็อคชื่อดังของเกาะอังกฤษ นั่นก็คือ Oasis ค่ะ เพลงนี้อยู่ในอัลบัมที่มีชื่อว่า What’ s the Story (Morning Glory) ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.1995 ซึ่งเชื่อว่าสาวกของวงนี้หลาย ๆ คน (รวมทั้งตัวผู้เขียน) ขอยกให้เป็นเพลงที่เรียกว่าเป็น Signature ของวง Oasis เลยก็ว่าได้ เพราะความหมายที่โดนใจ และมีท่วงทำนองที่ชัดเจนในแนวของวง จนยังคงความเป็นเพลงฮิตถึงปัจจุบัน ซึ่ง Series ต่างประเทศหลาย ๆ เรื่อง ก็นำไปเป็นเพลงประกอบ เช่นเรื่อง Orange is the New Black เป็นต้น
ในส่วนที่บอกว่าเนื้อหาของเพลงนี้ช่างโดนใจ ก็เพราะว่าเนื้อเพลงของ Don’t look back in the anger นั้นกล่าวถึงการบอกเลิกกันระหว่างคนรักที่เคยรักกันมา เมื่อถึงเวลาที่ทบทวนกันดีแล้วว่าคงเดินร่วมทางต่อไม่ได้ ถึงเวลาต้องแยกทางกัน ก็ขอให้จากกันด้วยดี เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป และในอีกความหมายของ Don’t look back in the anger นี้ก็สามารถแปลตรงตัวได้เลยคือ อย่าไปยึดติดกับอดีตโดยเก็บความโกรธเกลียดชังไว้ จริง ๆ ก็คล้ายกับหลักของพุทธศาสนาที่ให้มีเมตตาและ ให้ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้เจ็บช้ำ ให้เก็บไว้เป็นเพียงบทเรียน ด้วยใจที่ไม่อาฆาตมาดร้ายใด ๆ คราวนี้ลองไปดูเนื้อเพลงกันบ้างนะคะว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
Slip inside the eye of your mind, Don't you know you might find, A better place to play
ลองมองลึก ๆ ไปในใจของเธอ เธออาจจะรู้ว่า เราคงเดินต่อไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว และอาจจะเจอใครที่ดีกว่า
But please don't put your life in the hands, of a Rock n Roll band,
Who'll throw it all away..........ได้โปรดอย่านำชีวิตของเธอมาฝากไว้กับคนอย่างคนอย่างฉัน (ซึ่งในความหมาย
จริง ๆ หมายถึง Noel คนแต่งที่เป็นสมาชิกของ Oasis)
So Sally can wait, she knows it's too late as we're walking on by, Her soul slides away,
but don't look back in anger I heard you say
เมื่อถึงทางตันของความสัมพันธ์แล้ว โปรดเลือกเดินจากกันด้วยความเข้าใจ อย่าได้จบกันด้วยความโกรธแค้น ให้
ปล่อยวาง ทำความเข้าใจมัน
เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงรักสื่อแนวคิดดี ๆ ของความสัมพันธ์ ซึ่งสามารถประยุกต์เข้ากับความสัมพันธ์แบบไหนก็ได้ เพื่อเตือนให้เรามีสติไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจได้ง่าย ๆ ค่ะ
https://youtu.be/r8OipmKFDeM