ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา หลาย ๆ ท่านที่อยู่ในแวดวงธุรกิจระหว่างประเทศคงเคยได้ยินคำว่า United States – Mexico – Canada Agreement (USMCA) ที่เกิดขึ้นโดยเป็นข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่สหรัฐฯ พยายามแก้ไขรายละเอียดการนำเข้าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มชาติสมาชิกอเมริกาเหนือ ทดแทนข้อตกลงทางการค้า North American Free Trade Agreement (NAFTA) ฉบับเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อตกลงทางการค้าใหม่ได้ลงนามไปเรียบร้อยเป็นมาหลายเดือนแล้ว แต่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ต่างก็ยังไม่คงรับสภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดี และยิ่งไม่ชอบ ทรัมป์หนักข้อขึ้นไปอีก
โดยประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ อ้างว่าข้อตกลงการค้า USMCA ที่ตนทำกับแคนาดาและเม็กซิโกคือ ‘ชัยชนะ’ ของเกษตรกรสหรัฐฯ โดยข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่นี้จะเปิดตลาดเม็กซิโกและแคนาดา ให้แก่สินค้าเกษตรและแรงงานอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่แรงงานเกษตรกรและแรงงานอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน เม็กซิโกและแคนาดาที่เป็นแหล่งอุปทานเหล็กและอลูมิเนียมที่สำคัญของสหรัฐฯ กลับไม่ประสบความสำเร็จในการต่อรองเพื่อให้สหรัฐฯ ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของตน
ด้วยเหตุนี้ภาคธุรกิจหลายรายแสดงท่าทีไม่คาดหวังกับผลประโยชน์ของข้อตกลงการค้าฉบับใหม่นี้มากนัก เพราะแม้ว่าข้อตกลง USMCA จะช่วยเกษตรกรสหรัฐฯ ให้เข้าถึงตลาดผลิตภัณฑ์นมของแคนาดา รวมถึงเปิดตลาดให้กับรถยนต์ที่มีการประกอบในสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ภาคธุรกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนด้านการค้าซึ่งเป็นผลจากการตอบโต้จากรัฐบาลต่างชาติด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ
ที่เห็นกันชัดๆ คือ เม็กซิโกซึ่งจะเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ไปที่ร้อยละ 25 ทำเอาภาคเอกชนสหรัฐฯหน้าเบ้ ...และพากันสรรเสริญเยินยอ ‘ทรัมป์’ กันถ้วนทั่ว
ทางด้าน ทรัมป์ ที่กำลังส่งเสริมนโยบายการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการต่อรองด้านการค้าและแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนว่าจะยังคงใช้กลยุทธ์สร้างข้อกีดกันทางการค้าอยู่ต่อไปเพื่อบีบประเทศต่างๆ ให้ยินยอมทำในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการต่อไป
โดยยืนยันว่ากลยุทธ์ของตนกำลังช่วยประเทศสหรัฐฯ และผู้ผลิตโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก ทั้งทรัมป์ยังได้กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กสหรัฐฯ ขณะนี้กำลังฟื้นตัวกลับมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะที่ภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของกลยุทธ์ที่เป็นมุมมองด้านเดียวของ ทรัมป์ ที่ตั้งเป้าช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจของนักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งห่วงโซ่อุปทานของโลกและตลาดของสินค้าสหรัฐฯ ในอีกหลายประเทศ
โดยภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการของทรัมป์ คือ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งต้องพึ่งพาอลูมิเนียมและเหล็กจากต่างชาติจำนวนมากเป็นวัสดุในการผลิตกระป๋องและรถยนต์
ตัวอย่างภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อาทิ บริษัท PepsiCo. ระบุว่า ราคาอลูมิเนียมนำเข้าจากแคนาดาที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้กำไรของบริษัทฯ ลดลง จึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าและลดประมาณการรายได้ของปี ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ ตกลงทันที หรือกรณีที่ผู้บริหารบริษัท Ford Motor Company เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากภาษีโลหะแต่เพียงอย่างเดียวจะทำให้กำไรของบริษัทฯ ลดลงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าเป้าหมายของการแก้ไขสนธิสัญญา NAFTA คือความพยายามที่จะนำอัตราการผลิตกลับคืนสู่สหรัฐฯ ด้วยการเปลี่ยน “Rules of Origin” ในการผลิตสินค้ารถยนต์ แต่การกระทำดังกล่าวอาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคในข้อตกลงใหม่กำหนดให้รถยนต์ที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะต้องมีส่วนประกอบส่วนใหญ่มาจากแหล่งผลิตที่มีอัตราค่าจ้างแรงงานไม่น้อยกว่าประเทศในอเมริกาเหนือ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนรถยนต์เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทรถยนต์ที่มีการผลิตในประเทศอื่น ๆ
อ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333