ประเด็นเรื่อดงการผลักดันการห้ามใช้ 3 สารเคมีอันตราย (พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต) ที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี กับแง่มุมในเชิงผลกระทบด้านสุขภาพที่กลุ่ม NGO พยายามที่จะผลักดันให้รัฐประกาศห้ามใช้เป็นการถาวร ขณะที่อีกแง่มุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นแนวคิดเกษตรแปลงใหญ่ ที่มองถึงความจำเป็นในการใช้สารกำจัดวัชพืชดังกล่าว เนื่องจากเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้แรงงานคนซึ่งหายากและเครื่องจักรที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ทำให้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติ 16 ต่อ 5 เสียง สนับสนุนให้การอนุญาตใช้สารพาราควอต หนึ่งในสารเคมีอันตรายทางการเกษตรต่อ โดยอ้างว่าปัจจุบันยังไม่มีสารหรือมาตรการทดแทน โดยระหว่างนี้ให้กรมวิชาการเกษตรศึกษาวิจัย ลดการใช้และหามาตรการทดแทนคาดว่าอีก 2 ปี จึงจะยกเลิกได้ถาวร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ความคืบหน้าล่าสุด ประเด็นการห้ามใช้สารเคมีอันตราย เพื่อความสบายใจแต่ผู้บริโภค โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 5 เมษายน 2562 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 เพื่อ ‘จำกัดการใช้’ สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ,ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ รวมทั้งเงื่อนไขในการผลิต การนำเข้า การส่งออก การมีไว้ครอบครองและกำหนดให้มีบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบในการควบคุมการขาย
เกษตรกรใช้ 3 สามอันตรายต้องขึ้นทะเบียน
โดยเกษตรกรที่จะใช้สารพาราควอต และไกลโฟเสต จะต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูก ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ไม้ผล ยางพารา และ อ้อย ขณะที่เกษตรกรที่จะใช้สารคลอไพรีฟอส จะต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชไร่ ไม้ดอกไม้ประดับ และไม้ผล ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านการอบรมและทดสอบหลักสูตรการใช้สารเคมีที่ถูกต้องและปลอดภัย
กรมส่งเสริมการเกษตร หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ทุกสำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอและศูนย์ปฏิบัติการของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 1,625 คน เพื่อเป็นวิทยากรอบรมและให้ความรู้กับเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรจะต้องผ่านการอบรม ผ่านการทดสอบ ถึงจะมีสิทธิในการซื้อตามปริมาณที่ได้รับการควบคุม ดังนั้น เกษตรกรที่จำเป็นในการใช้ 3 สาร ลำดับแรกต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อแสดงสิทธิ์ในการเข้ารับการอบรม การทดสอบและการซื้อสารดังกล่าว
การขึ้นทะเบียนเกษตรกรสำหรับเกษตรกร ผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจนอกจากจะมีสิทธิ์เข้ารับการอบรมเพื่อซื้อ 3 สาร แล้ว ในเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลเพื่อการส่งออก ซึ่งปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจีนมีเงื่อนไข ด้านคุณภาพสินค้า ที่จะต้องผลิตในระบบ GAP (Good Agricultural Practice) ระบบการผลิตที่ถูกต้องในฟาร์ม โดยพิจารณาตั้งแต่พื้นที่การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และการจัดการหลังเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ มีลักษณะตรงตามความต้องการ และมีความปลอดภัยต่อการบริโภค ในประเทศไทยได้มีการเริ่มจัดทำระบบ ทั้งต้องผ่านจุดรวบรวมผลผลิตที่ได้รับ GMP แล้วเท่านั้น ซึ่ง เกษตรกรกร ผู้ปลูกไม้ผล ต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบและยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว จึงขอย้ำให้เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล ขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อขอรับรองมาตรฐาน GAP
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้นับเป็นมาตรการเยียวยาการ ‘ไม่แบน’ 3 สารอันตราย ทั้งประวิงเวลาของหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ แต่คงประวิงได้ไม่นานนักเพราะทั่วโลกตระหนักในสารปนเปื้อนในอาหารมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดส่งออกที่ต้องปรับตัว และเตรียมการรับมือมาตรการด้านอาหารปลอดภัยและวัตถุดิบปลอดสารปนเปื้อนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
รวมทั้งเกษตรแปลงใหญ่ ที่อาจกระทบโดยตรงหากเกิดการแบน 3 สารอันตรายนี้ขึ้นมา เนื่องจากต้นทุนการผลิตอาจเพิ่มขึ้น แต่หากมองในแง่ดี อาจได้ตลาดที่ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพมากขึ้นก็เป็นได้
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333