<strong>ไฮไลท์ :</strong><strong> </strong>
ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ความตกลงเปิดการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) เตรียมจะยกเลิกกำแพงภาษีนำเข้า และโควตานำเข้า เมล็ดกาแฟดิบ-เมล็ดกาแฟคั่ว-กาแฟสำเร็จรูปจากออสเตรเลีย ให้กลายเป็น 0% ส่งผลให้กาแฟนำเข้าจากออสเตรเลีย และร้านกาแฟแฟรนไชส์ออสเตรเลียมีโอกาสจะเข้ามาเปิดตลาดในไทยมากขึ้น
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการคั่วกาแฟที่แข็งแกร่ง ทันสมัย และมีการส่งออกแฟรนไชส์ร้านกาแฟออกมายังตลาดต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักในหลายแบรนด์ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมเสริมความแข็งแกร่งทั้งการปรับนโยบายนำเข้าเมล็ดกาแฟเสรีเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการแปรรูปเพื่อการส่งออก การต่อยอดร้านกาแฟเข้ากับธุรกิจท่องเที่ยว หรือการเตรียมมาตรการเยียวยาจากทางภาครัฐ ในรูปแบบต่างๆ เช่น กองทุนเอฟทีเอ การส่งเสริมการเปิดตลาดส่งออก การสร้างแบรนด์และพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นต้น
นับถอยหลังอีกไม่กี่เดือนความตกลงเปิดการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) เตรียมจะยกเลิกกำแพงภาษีนำเข้า และโควตานำเข้า เมล็ดกาแฟดิบ-เมล็ดกาแฟคั่ว-กาแฟสำเร็จรูปจากออสเตรเลีย ให้กลายเป็น 0% ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งจะทำให้สินค้ากลุ่มนี้จากออสเตรเลียสามารถส่งเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยได้อย่างเสรี จากปัจจุบันที่สินค้ากลุ่มนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีการกำหนดโควตานำเข้า (TRQ) ปีละ 5.25 ตัน ด้วยภาษี 4% หากนำเข้านอกโควต้าจะมีภาษี 81% ส่วนกาแฟสำเร็จรูป กำหนดโควต้าปีละ 134 ตัน ภาษีนำเข้า 5.33% หากนำเข้านอกโควต้าจะมีภาษี 44.1%
ประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ถึงแม้ว่าออสเตรเลียจะไม่ใช่ผู้ปลูกกาแฟรายใหญ่ของโลก แต่ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการคั่วกาแฟที่แข็งแกร่ง ทันสมัย และมีการส่งออกแฟรนไชส์ร้านกาแฟออกมายังตลาดต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักในหลายแบรนด์
“คุณวารี สดประเสริฐ” นายกสมาคมกาแฟไทย กล่าวว่า ออสเตรเลียมีความได้เปรียบในแง่ที่ไม่ใช่ผู้ปลูกกาแฟรายใหญ่ แต่เป็นประเทศนำเข้าเมล็ดกาแฟแบบไร้ภาษี เข้าไปคั่วกาแฟด้วยระบบที่ทันสมัย และมีการพัฒนาแบรนด์ร้านกาแฟที่มีศักยภาพสามารถขยายไปสู่ตลาดโลกได้ โดยขณะนี้พบว่าจะมีร้านกาแฟแฟรนไชส์จากออสเตรเลียบางแบรนด์เริ่มขยายตลาดมาไทย เช่น The Coffee Club ซึ่งจะเห็นอยู่หลายจุดในประเทศไทย
ขณะที่ไทยยังไม่สามารถขยายตลาดไปออสเตรเลียได้ เพราะคนออสเตรเลียนิยมบริโภคแบรนด์ออสเตรเลีย และปัจจุบันการผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศไทยยังไม่เพียงพอ โดยผลิตได้ปีละ 25,000-26,000 ตัน ขณะที่ความต้องการใช้มีถึงปีละ 50,000-60,000 ตัน และในการนำเข้าต้องเสียภาษีนำเข้าและมีโควตา รวมถึงเงื่อนไขกำหนดให้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าราคาตลาด ดังนั้น หากรัฐบาลปรับเปลี่ยนโยบายช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถนำเข้าวัตถุดิบมาแปรรูปส่งออกได้อย่างเสรี โดยเฉพาะจากประเทศอาเซียน จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต
<p style="text-align: center;"><strong>การส่งออกกาแฟของไทย (ล้านบาท)</strong></p>
<a href="https://www.bangkokbanksme.com/wp-content/uploads/2018/05/info_18561_V8.png"><img class="aligncenter size-full wp-image-23787" src="https://www.bangkokbanksme.com/wp-content/uploads/2018/05/info_18561_V8.png" alt="" width="700" height="700" /></a>
ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นกรมที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในผู้ประกอบการในธุรกิจแฟรนไชส์ ‘คุณสาโรจน์ สุวัตถิกุล’ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปัจจุบันกรมมีหลักสูตร Franchise B2B ซึ่งใช้สำหรับฝึกอบให้ความรู้ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยได้เปิดอบรมมาแล้ว 20 รุ่น การดำเนินโครงการนี้ถือเป็นการสร้างอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย ตามนโยบายของรัฐบาล
<p style="text-align: center;"><strong>จำนวนร้านแฟรนไชส์ในปัจจุบัน (ราย)</strong></p>
<a href="https://www.bangkokbanksme.com/wp-content/uploads/2018/05/info_18561_V9.png"><img class="aligncenter size-full wp-image-23788" src="https://www.bangkokbanksme.com/wp-content/uploads/2018/05/info_18561_V9.png" alt="" width="700" height="700" /></a>
<p style="text-align: center;"><strong> ที่มา </strong><strong>: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า </strong></p>
<strong> </strong><strong>@ ต่อยอดร้านกาแฟกับท่องเที่ยว</strong>
‘คุณธีรวัฒน์ วงศ์วรทัต’ นายกสมาคมกาแฟและรองประธานสมาคมกาแฟเอเชียเห็นถึงแนวทางในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจร้านกาแฟว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรมนักท่องเที่ยวสมัยใหม่นิยมเล่นเฟชบุ๊ก ไลน์ ไอจี มีเช็คอินและถ่ายภาพ ซึ่งไทยควรอาศัยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยผูกโยงการทำธุรกิจร้านกาแฟเข้ากับการโปรโมตการท่องเที่ยว โดยการสร้างจุดให้บริการ Coffee Station ในจังหวัดต่างๆ ที่เป็นแหล่งปลูกกาแฟ เช่น อาจนำร่องที่ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกกาแฟอะราบิก้าที่เป็นที่รู้จัก และยังเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญทางภาคเหนือที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าจำนวนมาก หากสร้างสถานที่จำหน่ายเป็นจุดนัดพบ เช็คอิน จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างรายได้กลับสู่ชุมชนและเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟด้วย
<strong>@ รัฐรับมือการเปิดเสรีการค้า </strong>
อย่างไรก็ตาม ฟากฝั่งของภาครัฐ ยังประมาทไม่ได้ถึงผลกระทบการเปิดการค้าเสรี “คุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า กรมฯ ได้ลงพื้นที่ จ.เชียงราย และจ.ชุมพร เพื่อประชุมรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกาแฟ ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากลดภาษีนำเข้า เพราะจ.เชียงรายถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าก่อน ส่วนจังหวัดชุมพร ถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า ก่อนที่จะสรุปแนวทางบริหารจัดการสินค้าร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งนี้ ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ หากผู้เกี่ยวข้องมีความกังวลและได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี ภาครัฐมีกองทุนเอฟทีเอเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนมาตรการส่งเสริมด้านการทำการตลาดต่างประเทศ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศซึ่งสามารถนำผู้ประกอบการที่มีความพร้อมไปจัดกิจกรรม จับคู่ธุรกิจ และไปร่วมงานแฟร์ต่างๆ หรือกรมทรัพย์สินทางปัญญาช่วยส่งเสริมให้เรื่องของการนำอัตลักษณ์ของกาแฟมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกาแฟไทยสามารถที่จะส่งออกในตลาดโลกได้ หรือกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะมีโครงการพัฒนาผู้ประกอบการร้านแฟรนไชส์ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง
<strong> @ 5 ปีตลาดกาแฟสดใส-พื้นที่ปลูกลดลง </strong>
<strong> </strong>
“คุณราตรี เม่นประเสริฐ” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ ปี 2557-2561 พื้นที่ปลูกกาแฟของไทยลดลง ขณะที่ความต้องการบริโภคกาแฟเพิ่มสูงขึ้น โดยไทยผลิตได้ปีละ 26,000 ตัน ขณะที่ความต้องใช้กาแฟเพิ่มขึ้นจาก 70,000 กลายเป็น 90,000 ตัน และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 100,000 ตัน ในปีนี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟปีละ 58,000-60,000 ตัน จากประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย
สำหรับพื้นที่ปลูกกาแฟในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกทางภาคทางใต้ ปลูกสายพันธุ์โรบัสต้าคิดเป็นสัดส่วน 70% ของพื้นที่ทั้งหมด จากปัจจัยที่เกษตรกรไม่คัดเลือกพันธุ์ ส่งผลให้ผลผลิตที่ได้ขาดความแน่นอน ขาดความรู้และการใช้เทคโนโลยีในการผลิตเกษตรกรหันไปปลูกพืชอื่นที่มีราคาจูงใจกว่า และสภาพอากาศที่แปรปรวนจนกระทบกับผลผลิต
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าธุรกิจกาแฟยังมีแนวโน้มที่สดใส แต่ขณะเดียวกันการแข่งขันก็สูง ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมความพร้อมไม่เพียงจะสู้กับผู้ประกอบการร้านแฟรนไชส์หัวไทยด้วยกันเอง แต่อีก 1 ปี ร้านแฟรนไชส์หัวนอกจากออสเตรเลียก็จะเข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดมากขึ้นด้วย
<strong>Bangkok Bank SME</strong> เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ <a href="http://www.bangkokbanksme.com/loan"><strong>คลิก</strong></a> หรือสายด่วน 1333