รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คืออะไร? คู่มือซื้อ-ขาย-ใช้ฉบับสมบูรณ์ [อัปเดต 2568]
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันบนท้องถนนในประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยกระแสความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อ ผู้บริโภคให้ความสนใจในเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
บทความนี้คือคู่มือที่จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ประเภทของรถ ข้อดี-ข้อเสีย ที่ควรพิจารณา ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจเทรนด์นี้ได้อย่างลึกซึ้ง และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ครบถ้วนที่สุด
รถยนต์ไฟฟ้าคือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักและใช้แบตเตอรี่ในการเก็บพลังงาน
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คืออะไร? รถยนต์ไฟฟ้า มีกี่ประเภท
รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่นิยมเรียกกันว่า EV (Electric Vehicle) คือรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
1. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV – Hybrid Electric Vehicle)
รถยนต์ไฟฟ้า HEV ใช้ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนร่วมกัน มีแบตเตอรี่ในตัวที่เก็บพลังงานจากการขับเคลื่อนและเบรกเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แต่ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก ทำให้ประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์ทั่วไป
2. รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV - Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
รถยนต์ไฟฟ้า PHEV เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก HEV โดยเพิ่มช่องเสียบปลั๊กสำหรับชาร์จไฟเข้าไป ทำให้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ในระยะทางที่ไกลขึ้นก่อนจะสลับไปใช้เครื่องยนต์น้ำมัน
3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV - Battery Electric Vehicle)
รถ BEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในจึงไม่ปล่อยไอเสียเลย และต้องชาร์จไฟจากสถานีชาร์จหรือที่บ้านเท่านั้น
4. รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจน (FCEV - Fuel Cell Vehicle)
FCEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากไฮโดรเจน ไม่ปล่อยมลพิษและ CO2 ออกจากรถยนต์แต่จะปล่อยน้ำออกมาเท่านั้นทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนสถานีเติมไฮโดรเจนที่ยังมีน้อยมากในปัจจุบัน
ข้อดี-ข้อเสีย รถยนต์ไฟฟ้า คุ้มจริงไหม? (อัปเดต 2568)
รถยนต์ไฟฟ้า มีข้อดีอย่างไร? 5 ข้อดีที่ทำให้คุณอยากเปลี่ยนมาใช้
1. ประหยัดค่าเชื้อเพลิง
ค่าไฟฟ้าสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมันมาก จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ชัดเจนยิ่งถ้าคุณสามารถชาร์จไฟที่บ้านได้ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งประหยัดมากขึ้นไปอีก
2. อัตราเร่งดีเยี่ยม
มอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดได้ทันทีที่กดคันเร่ง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราเร่งที่รวดเร็วและตอบสนองได้ดีเยี่ยมกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่คล่องตัวและทันใจ
3. เงียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้าทำงานได้เงียบมากช่วยลดมลพิษทางเสียงในพื้นที่เมือง นอกจากนี้ยังไม่มีการปล่อยไอเสียจากตัวรถ ทำให้ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
4. ค่าบำรุงรักษาต่ำ
รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป เพราะไม่มีชิ้นส่วนซับซ้อนอย่างเครื่องยนต์ และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาในระยะยาวลดลงอย่างชัดเจน หากไม่มีการชนจนต้องเปลี่ยนอะไหล่สำคัญ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งมีราคาสูงมาก การดูแลรักษาทั่วไปจึงถือว่าประหยัด
5. ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น การลดภาษีนำเข้า การลดภาษีสรรพสามิต หรือเงินอุดหนุน ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และช่วยกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น
5 ข้อเสียและสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อ
1. ราคารถยังสูง
แม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่ารถยนต์น้ำมันในรุ่นใกล้เคียงกัน เนื่องจากเทคโนโลยีและแบตเตอรี่ที่ใช้ยังมีต้นทุนการผลิตสูง
2. สถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม
ถึงแม้จะมีสถานีชาร์จเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมและสะดวกสบายเท่ากับปั๊มน้ำมัน การเดินทางไกลจึงต้องมีการวางแผนเส้นทางและจุดแวะพักสำหรับชาร์จไฟอย่างรอบคอบ
3. ระยะเวลาในการชาร์จ
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละครั้งใช้เวลานานกว่าการเติมน้ำมันมาก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อยหรือใช้รถอย่างเร่งรีบ
4. ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานจำกัด และยังมีราคาแพงมากหากต้องเปลี่ยนใหม่ รวมถึงปัญหาเรื่องการจัดการขยะจากแบตเตอรี่ที่ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน
5. ราคาขายต่อ
เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองยังไม่แพร่หลายและราคาขายต่อยังไม่แน่นอนเหมือนกับรถยนต์น้ำมัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ผู้ซื้อต้องรับไว้พิจารณา
รถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี รวมราคารถไฟฟ้าที่น่าสนใจในไทย (อัปเดตล่าสุด กันยายน 2568)
กลุ่มราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท (Entry Level)
กลุ่มราคา 1-2 ล้านบาท (Mainstream)
กลุ่มราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป (Premium)
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้
ขั้นตอนการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน
ตรวจสอบและอัปเกรดระบบไฟฟ้า ก่อนอื่นต้องตรวจสอบขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าและสายไฟเมนเข้าบ้าน หากมีขนาดเล็กเกินไป (เช่น 5-15 แอมป์) ต้องเปลี่ยนเป็น 30 แอมป์ (สำหรับ 1 เฟส) หรือ 15/45 แอมป์ (สำหรับ 3 เฟส) นอกจากนี้ยังต้องเช็กขนาดสายไฟเมนให้มีขนาดอย่างน้อย 25 ตารางมิลลิเมตร และต้องติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (เบรกเกอร์) และเครื่องตัดไฟฟ้ารั่ว (RCD) เพื่อความปลอดภัย
เลือกประเภทเครื่องชาร์จ เครื่องชาร์จสำหรับใช้ในบ้านที่นิยมคือแบบ Wall Box (AC Charging) ซึ่งใช้เวลาชาร์จ 4-9 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการชาร์จตอนกลางคืน
เลือกจุดติดตั้ง ควรเลือกจุดที่ใกล้กับตู้เมนไฟฟ้าเพื่อประหยัดค่าสายไฟ และควรติดตั้งในที่ร่มเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหายจากแดดและฝน
เลือกหัวชาร์จ ควรเลือกหัวชาร์จที่เข้ากันได้กับรถยนต์ไฟฟ้าของคุณ
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง EV Charger
ค่าเครื่องชาร์จ (EV Charger) ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000 - 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและกำลังไฟ (kW)
ค่าปรับปรุงมิเตอร์ไฟฟ้า
กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีค่าตรวจสอบประมาณ 700-2,500 บาท หากต้องการอัตราค่าไฟแบบ TOU จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 6,640-7,350 บาท
ต่างจังหวัด มีค่าตรวจสอบประมาณ 700-1,500 บาท หากต้องการอัตราค่าไฟแบบ TOU จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 3,740-5,340 บาท
* อัตราค่าไฟแบบ Time Of Use (TOU) จะคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาการใช้งานโดยค่าไฟในช่วงกลางคืนและวันหยุดจะถูกกว่า ช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าประหยัดค่าชาร์จได้
การชาร์จที่สถานี (DC Fast Charging): ค่ายไหนบ้าง? ราคาเท่าไหร่?
ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีทั้งผู้ให้บริการจากภาครัฐและเอกชน โดยมีอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันไป
ภาครัฐ:
PEA VOLTA: ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครอบคลุมทั่วประเทศ ค่าชาร์จจะแตกต่างกันตามขนาดกำลังไฟ ดังนี้
กำลังไฟ 50-99 kW: On-Peak 8.2 บาท/หน่วย, Off-Peak 6.3 บาท/หน่วย
กำลังไฟ 100-299 kW: On-Peak 8.5 บาท/หน่วย, Off-Peak 6.5 บาท/หน่วย
กำลังไฟ 300 kW ขึ้นไป: On-Peak 9.7 บาท/หน่วย, Off-Peak 7.2 บาท/หน่วย
MEA EV Charging Station: ของการไฟฟ้านครหลวง เน้นให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลค่าบริการ 7.5 บาท/หน่วย
Elex by EGAT: ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ให้บริการตามสำนักงานและสถานีบริการน้ำมัน PT ในพื้นที่ กฟผ. 6.5 บาท/หน่วย ในสถานีบริการน้ำมัน PT Station 9.5 บาท/หน่วย
ภาคเอกชน:
PTT EV Station PluZ: ของ ปตท. มีสถานีจำนวนมากและครอบคลุม แบบ On-Peak 7.7 บาท/หน่วย และ Off-Peak 6 บาท/หน่วย มีค่าจองเวลาล่วงหน้า 20 บาท
EA Anywhere: เน้นให้บริการจุดชาร์จแบบครบวงจร ราคาเริ่มต้นที่ 7.7 - 8.7 บาท/หน่วย
REVERSHARGER: สถานีชาร์จของ BYD และตามปั๊มเชลล์ มี 600 สถานีทั่วประเทศ ค่าบริการเริ่มต้น 7.5บาท/หน่วย
EVolt: มีสถานีให้บริการตามศูนย์การค้าและโชว์รูมรถยนต์ มีสถานีชาร์จมากกว่า 200 สถานีทั่วประเทศ ค่าบริการอยู่ในช่วง 8 - 10 บาทต่อหน่วย
on-ion: ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เน้นให้บริการพื้นที่ศูนย์การค้าและที่พักอาศัยเน้นให้บริการในศูนย์การค้าและที่พักอาศัย ค่าบริการ 7.5 บาท/หน่วย
แนะนำแอปพลิเคชันค้นหาสถานีชาร์จ EV ทั่วไทย
EV Station PluZ เป็นแอปจาก ปตท. ซึ่งมีจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะใน PTT Station ทำให้หาได้ง่ายทั้งในเมืองและระหว่างการเดินทางไกล
EA Anywhere มีเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่หนาแน่น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในพื้นที่เชิงพาณิชย์ต่าง ๆ
PEA VOLTA และ MEA EV แอปพลิเคชันจากหน่วยงานภาครัฐอย่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ที่มีสถานีกระจายตัวครอบคลุมในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง และเป็นที่เชื่อถือได้เรื่องมาตรฐานการให้บริการ
แอปพลิเคชัน PlugShare เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่รวมข้อมูลสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ให้บริการหลากหลายค่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสถานีได้ครบ โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างแอปต่าง ๆ
นโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าล่าสุดจากภาครัฐ (EV 3.5)
มาตรการ EV 3.5 จะมีผลใช้บังคับในช่วงปี 2567 - 2570 โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยสิทธิประโยชน์ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เงินอุดหนุน การลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยเงินอุดหนุนจะเป็นไปตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่
เงินอุดหนุนเป็นส่วนลดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท): สูงสุด 100,000 บาทต่อคัน
เงื่อนไขเงินอุดหนุน: ขึ้นอยู่กับประเภทรถและขนาดแบตเตอรี่ (สำหรับรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทในปีแรก และลดลงตามลำดับในอีก 3 ปีถัดไป)
สิทธิประโยชน์อื่น ๆ:
ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2567-2568)
เงื่อนไขการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชย: ผู้ประกอบการที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปจะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าในอัตราส่วน 1:2 ในปี 2569 และเพิ่มเป็น 1:3 ในปี 2570
การเป็นเจ้าของและการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่อะไร และเคล็ดลับการดูแลแบตเตอรี่
รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน (Lithium-ion) เป็นแหล่งพลังงานหลักในการขับเคลื่อน เพื่อให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานยาวนานและมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรดูแลตามหลักการง่าย ๆ 3 ข้อดังนี้
ชาร์จให้อยู่ในช่วง 30-80% การรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ในโซนนี้อยู่เสมอจะช่วยลดความเครียดของเซลล์แบตเตอรี่ และป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100% และปล่อยให้แบตหมดเกลี้ยงบ่อย ๆ การชาร์จจนเต็มหรือใช้จนแบตหมดเกลี้ยงเป็นประจำจะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
หลีกเลี่ยงความร้อนและชาร์จเร็ว ไม่ควรจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน และควรใช้การชาร์จแบบเร็ว (DC) เฉพาะที่จำเป็น เพื่อลดผลกระทบต่อแบตเตอรี่
เช็กระยะรถ EV ต้องทำอะไรบ้าง? แตกต่างจากรถน้ำมันอย่างไร?
การเช็กระยะรถยนต์ไฟฟ้าต้องทำอะไรบ้าง?
แม้ว่ารถ EV จะไม่มีเครื่องยนต์และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ก็ยังมีของเหลวและชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่ต้องดูแลตามระยะเวลา ได้แก่
ของเหลว ยังต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็น สำหรับมอเตอร์และแบตเตอรี่ น้ำมันเบรก และน้ำมันเกียร์ ตามระยะที่กำหนด
ยังมีชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่ต้องตรวจสอบและเปลี่ยน เช่น ยางปัดน้ำฝน ผ้าเบรก จานเบรก ยาง และ แบตเตอรี่ 12 โวลต์
ความแตกต่างจากรถยนต์น้ำมัน
การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าจะแตกต่างจากรถยนต์น้ำมันอย่างชัดเจนดังนี้
ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่อง
ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า โดยรวมแล้วค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง 100,000 กม. แรกต่ำกว่ารถยนต์น้ำมันมาก
รอบการเช็กระยะ ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันไป และจะมีรอบใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติอย่างการเปลี่ยนของเหลวที่สำคัญ เช่น น้ำยาหล่อเย็นมอเตอร์ขับเคลื่อน แบตเตอรี่ น้ำมันเบรก หรือน้ำมันเกียร์ เป็นต้น
บทสรุป: รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตที่มาถึงแล้ว
รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอนาคตของยานยนต์ที่กำลังเติบโตจากเหตุผลหลัก ๆ คือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และค่าบำรุงรักษาโดยรวมต่ำกว่ารถยนต์น้ำมัน นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม มีอัตราเร่งที่รวดเร็วและตอบสนองได้ทันใจ
ท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นการเลือกไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตหากเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลักรถ BEV อาจเป็นทางเลือกที่ดีเพราะสามารถเดินทางในระยะสั้น ๆ ได้และชาร์จไฟที่บ้านได้สะดวก หรือหากกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จระหว่างทางรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) หรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่มีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ทำให้หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างเดินทางไกลได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
ทำความรู้จักยานยนต์ไฟฟ้า 4 ประเภท สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก https://erdi.cmu.ac.th/?p=1489
ส่องข้อดี-ข้อเสีย “รถยนต์ไฟฟ้า” ขับลุยน้ำท่วมได้นานแค่ไหน ควรดูแลแบตเตอรีอย่างไร สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก https://tu.ac.th/thammasat-030865-tse-expert-talk-electric-vehicle
อยากติดตั้ง EV Charger รถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านต้องทำอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าไร? สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก https://www.viriyah.com/article/detail/383-อยากติดตั้ง-ev-charger-รถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านต้องทำอย่างไร-มีค่าใช้จ่ายเท่าไร
รวมสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วประเทศไทย ผ่านตรงไหนแวะได้เลย สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก https://www.heygoody.com/th/blogs/motor/all-ev-stations-in-thailand/#kar-charc-baeb-dc-charging
EV 3.5 อนุมัติแล้ว! เริ่มใช้ 2 ม.ค. 2567 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก
https://www.thaiauto.or.th/2020/th/news/news-detail.asp?news_id=5620
รวม 6 วิธีดูแลรถยนต์ไฟฟ้าให้แบตอึด วิ่งใช้ได้นานอย่างสบายใจ สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 จาก https://nexenthailand.com/ev-maintenance-guide-2025/