นับเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจมากสำหรับการควบคุมการใช้ สารกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืช 3 ชนิด คือ พาราควอต,ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ซึ่งก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกกฎกระทรวง 5 ฉบับ ในการจำกัดการใช้สารเคมีวัตถุอันตรายใช้ในการเกษตร รอการประกาศราชกิจจาฯแล้วจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วันหลังจากนี้
ประเด็นสำคัญ คือ จะมีการจำกัดการนำเข้าสารเคมีลดลงประมาณครึ่งของที่เคยนำเข้าตัวละอยู่ระหว่าง 2-3 ตันต่อปีจากเดิมอนุญาตให้นำเข้า 4-6 ตันต่อปี ซึ่งในปี 2562 นี้จะจำกัดการนำเข้าตามมาตรการโดยจำกัดการนำเข้าตามชนิดพืช เช่น พาราควอต 2 หมื่นตัน ไกลโฟเซต 4.8 หมื่นตัน และ คลอร์ไฟริฟอส 1,150 ตัน พร้อมกันนี้ได้สั่งการหน่วยงานในเรื่องการสร้างการรับรู้ให้กับทุกภาคส่วน ให้นำไปใช้อย่างถูกวิธี จึงจะเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้ ผู้ผ่านอบรมการใช้จึงนำใบอนุญาตไปซื้อขาย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
รวมทั้งการเดินหน้าขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิดโดยเร่งสำรวจปริมาณสารเคมีทั้ง 3 ชนิดทั้งจากผู้นำเข้าและร้านจำหน่ายว่า มีอยู่เท่าไร ต่อไปจะต้องแจ้งปริมาณสต็อกสินค้าทุก 15 วัน โดยระบุปริมาณที่ได้รับ แหล่งที่มา และแหล่งที่ส่งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดออกไปในพื้นที่
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดำเนินการมาตรการทำเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ อย่างเผยแพร่หลายเพื่อนำไปให้ถึงเกษตรกรในพื้นที่เกษตร149ล้านไร่ทั่วประเทศ รวมทั้งวิจัยหาสารจำกัดศัตรูพืช หาเทคโนโลยีใหม่ๆมากำจัดวัชพืช และใช้ทางเลือกโดยวิถีธรรมชาติ เช่นใช้หนอนอีกชนิดมากำจัดแมลง
รวมทั้งการตั้งเป้าภายในปี 2563 จะเลิกใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยกระทรวงเกษตรฯจะไปออกคำสั่งยกเลิกทันที และยังไม่ได้ต้องตรงขึ้นกับมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายด้วย
ด้านกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการแผนปฏิบัติการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด 6 มาตรการ ที่ผ่านมาได้อบรมวิทยากร2,240คน เพื่อไปอบรมเกษตรกร 1,500,000 คน ในช่วงเดือนมิ.ย. – ก.ย. นี้ และผู้รับจ้างพ่น 50,000 คน สำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจสอบตามพรบ.วัตถุอันตราย ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล 79,988 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบการใช้ 3 สาร ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ จะอบรมผ่าน video conference เครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ได้กำหนดชนิดพืช อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และไม้ผล ที่ใช้สารพาราควอต และไกลโฟเซต ส่วนสารคลอร์ไพริฟอส ให้ใช้เฉพาะกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผล กรมวิชาการเกษตรจะร่วมกับภาควิชาการและภาคเอกชนศึกษาวิจัยหาวิธีการหรือสารอื่นมาทดแทนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ซึ่งคณะอำนวยการขับเคลื่อนของกระทรวงต้องรายงานความคืบหน้าต่อสาธารณชนทุก 3 เดือน หากทำได้ตามที่กำหนดไว้ทั่วประเทศ จะยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดทันที
ด้านมาตรการด้านวิจัย ซึ่งมี 2 โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรือวิธีการที่นำมาใช้ทดแทน คือ โครงการจัดการวัชพืชแบบผสมผสานเพื่อลดปริมาณการใช้สารไกลโฟเซต และพาราควอต ในพืชเศรษฐกิจ และโครงการจัดการแมลงศัตรูพืชแบบผสมผสานเพื่อลดปริมาณการใช้สารกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสในพืชเศรษฐกิจ
ส่วนมาตรการสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร และประชาชนทั่วไป เร่งการดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยการใช้ช่องทางการสื่อสาร และสื่อต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด และใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ทราบถึงมาตรการและข้อห้ามต่างๆ ตามมาตรการจำกัดการใช้ที่กำหนดขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
ขณะที่มาตรการสร้างระบบฐานข้อมูล เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้อง กับระบบ National Single Window หรือ NSW ของกรมศุลกากร และทะเบียนเกษตรกร ของกรมส่งเสริมการเกษตร ให้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร อย่างชัดเจนเป็นปัจจุบัน โดยจะสร้างระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานควบคุมวัตถุอันตรายทางการเกษตร และสร้างแอพลิเคชั่นที่ทำงานร่วมกับฐานข้อมูล ในการบันทึกข้อมูลรายงานการนำเข้า ผลิต และจำหน่าย เพื่อทราบเส้นทาง และความเคลื่อนไหวของวัตถุอันตรายทั้งระบบ รวมทั้งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ด้วย
คงต้องรอดูกันว่า ภายใต้การออกกฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวจะสามารถเดินหน้าการจำกัดการใช้และยกเลิกการใช้ สารเคมีอันตรายในปีหน้านี้ได้หรือไม่