‘กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม’ จากวิสาหกิจชุมชน ยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลกด้วยเกษตรอินทรีย์

SME in Focus
02/09/2022
รับชมแล้วทั้งหมด 3226 คน
‘กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม’ จากวิสาหกิจชุมชน ยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลกด้วยเกษตรอินทรีย์
banner
ปัจจุบันการส่งออกข้าวในตลาดโลกมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงจากทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา ด้วยปัจจัยหลายอย่างจึงทำให้ประเทศเหล่านี้มีต้นทุนการผลิตและราคาขายต่ำกว่าประเทซไทย จึงทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ดังนั้น ‘บริษัท กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม จำกัด’ จึงมองหาแนวทางเพื่อยกระดับและส่งเสริมให้กับเกษตรกรชาวนาไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยแนวคิดการทำข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากลส่งออกไปตลาดโลก



‘ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล คือทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก’

ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ประธานบริษัท กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม จำกัด เปิดเผยถึงเส้นทางแหงความสำเร็จว่า บริษัทเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับและส่งเสริมให้กับเกษตรกรชาวนาไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมั่นคง จึงหาแนวร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่รวมกลุ่มจัดตั้งเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 จนเกิดเป็นสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ร้อยเอ็ด จำกัด

ขณะเดียวกัน ยังพบว่าตลาดที่ผู้บริโภคข้าวยังคงต้องการส่วนใหญ่จะเป็น ข้าวอินทรีย์ที่ผ่านการตรวจประเมินและรับรองมาตรฐาน ตนจึงเริ่มหาองค์ความรู้และแนวทางในการพัฒนาจากต่างประเทศถ่ายทอดไปยังเกษตรกร เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตข้าวจากเกษตรที่ใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวและผลิตภัณฑ์ ทำให้เกษตรกรชาวนาสามารถขายข้าวได้สูงกว่าราคาตลาดทั่วไป จนส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้เริ่มเจรจาทางธุรกิจกับลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ทำการเซ็นสัญญา ซื้อ-ขายข้าวข้าวอินทรีย์ เพื่อนำไปทำเป็นอาหารให้กับผู้ป่วย อีกทั้งยังได้ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างการออกบูธแสดงสินค้ากับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด จนเริ่มมีการตอบรับจากตลาดและมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง



ขยายธุรกิจจากกลุ่มเกษตรกรสู่การจัดตั้งบริษัท

ทั้งนี้ ภายหลังจากปี 2556 ตนพบว่าสหกรณ์เริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายข้าวอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคลภายใต้ชื่อ ‘บริษัท กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม จำกัด’ เพื่อให้การดำเนินงานในด้านต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นความสอดคล้องเรื่องการชำระภาษี ตลอดจนความน่าเชื่อถือเมื่อต้องเจรจาทางธุรกิจกับลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศ

รวมทั้งโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจะมีข้อมูลการทำบัญชี และเอกสารประกอบการทำบัญชีรายการรับรายจ่ายที่ชัดเจน ซึ่งทำให้ได้มีเครดิตในการขอสินเชื่อได้ง่าย จนนำมาสู่การขยายธุรกิจได้พร้อมอัพเครื่องจักรที่ใช้ในโรงสีข้าวให้สามารถรองรับกำลังการผลิตมากขึ้นจาก 80 ตัน/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 100 ตัน/วัน โดยมีผลผลิตข้าวอินทรีย์ส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศผ่านบริษัทชิปปิ้ง



ยกระดับเกษตรอินทรีย์ให้มีมาตรฐานระดับสากล

ดร.รณวริทธิ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการเปลี่ยนเป็นรูปแบบการดำเนินงานภายใต้ บริษัท กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม จำกัด ได้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานต่างๆ ให้สอดรับกับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของลูกค้าในระดับสากลจาก Control Union ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลทําหน้าที่ในการประเมิน และให้ใบรับรองแก่ผู้ผลิตให้เป็นไปตามข้อกําหนดและมาตรฐานอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีการจัดการและควบคุมดูแลระบบการปฏิบัติงาน ตลอดจนความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานของเกษตรอินทรีย์

ประกอบด้วย มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป (EU Organic), มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา (NOP Organic), มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์แคนาดา (COR Organic) และมาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น ( JAS Organic) ซึ่งได้รับการรับรองครบถ้วนทั้งฟาร์มเกษตรอินทรีย์ โรงงานเกษตรอินทรีย์ บรรจุภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ และการทำการค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์

นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต อย่าง GMP ซึ่งเป็นการการันตีถึงการปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหาร และเป็นระบบประกันคุณภาพในการผลิตอาหาร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและมั่นใจต่อการบริโภค ตลอดจน HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตราย และเป็นระบบที่ยอมรับในระดับสากลตามมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศว่าสามารถใช้สร้างความมั่นใจในการผลิตอาหารให้มีความปลอดภัย



ใช้จุดเด่นเป็นกลยุทธ์เจาะตลาด Niche Target

สำหรับเรื่องนี้ตนมองว่าเนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกข้าวสำคัญของโลกมาอย่างยาวนาน และมีผลผลิตข้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งข้าวถือเป็นสินค้า Mass Target เป็นอาหารจำเป็นที่ทุกคนต้องกินเป็นอาหารประจำวัน เป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่หรือทุกกลุ่มในตลาด ซึ่งมีการแข่งขันกันที่รุนแรงและมีคู่แข่งจำนวนมาก

ดังนั้น ตนจึงมีแนวคิดที่พัฒนาข้าวอินทรีย์ให้สามารถเจาะกลุ่ม Niche Target เนื่องจากความต้องการในสินค้าประเภทนี้เป็นที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความต้องการ ซึ่งคู่แข่งในตลาดนี้ยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับตลาดข้าวธรรมดา ขณะเดียวกันยังพบว่าทั่วโลกยังต้องการข้าวอินทรีย์เกือบ 10 ล้านตัน แต่ประเทศไทยสามารถผลิตได้เพียง 1 หมื่นตัน ซึ่งนับเป็นช่องว่างการตลาดให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ ตนได้ยื่นขอรับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล เพื่อยืนยันถึงมาตรฐานของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท ทำให้ลูกค้าและผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นเสมอมา

โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าหลัก ดังนี้ ข้าวไรซ์เบอรี่ออร์แกนิค, ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค, ข้าวหอมมะลิแดงออร์แกนิค, ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิค, ข้าวเหนียวขาวออร์แกนิค, ข้าวเหนียวดำออร์แกนิค, แป้งข้าวจ้าวออร์แกนิค, แป้งข้าวเหนียวออร์แกนิค, น้ำมันรำข้าวหอมมะลิออร์แกนิค น้ำมันรำข้าวไรซ์เบอรี่ออร์แกนิค, สบู่ครีมรำข้าวออร์แกนิค

รวมถึง บริการอื่นๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า อาทิ OEM รับจ้างผลิตข้าวออร์แกนิค ให้กับแบรนด์ต่างๆ ขายส่งให้กับร้านค้าปลีกและธุรกิจต่างๆ ทั้งโรงแรมและร้านอาหาร และขายปลีกให้กับผู้บริโภค ในชื่อแบรนด์ของ "Or-rice"  โดยลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ หรือโทรพนักงานของบริษัทได้โดยตรง

เพราะคนส่วนใหญ่ยังกินข้าวเป็นอาหารหลัก การบริโภคข้าวทั้งในและต่างประเทศจึงยังมีปริมาณค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการบริโภค 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มคนที่กินข้าวอะไรก็ได้เพื่อให้อิ่มและดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่เลือก 
2. กลุ่มคนที่เลือกกินข้าวที่มีรสชาติดี และเริ่มใส่ใจเรื่องคุณภาพ 
3. กลุ่มคนที่กินข้าวเพื่อสุขภาพ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องรสชาติ 

เราจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาข้าวอินทรีย์ของเราให้มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดี และมีรสชาติที่อร่อย ด้วยการประยุกต์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และหลักการธรรมชาติเข้าด้วยกัน ทำให้บริษัทมีสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นจากเจ้าอื่น สามารถเจาะกลุ่มลูกค้า Niche Target และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรของเราได้



หนุนสหกรณ์ให้โตควบคู่กับบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.รณวริทธิ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เนื่องจากธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับและส่งเสริมให้กับเกษตรกร ดังนั้น เมื่อตนที่อยู่ในฐานะผู้นำที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์อีสาน และผู้จัดการสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ร้อยเอ็ด จำกัด ครอบคลุมการดูแลเกษตรกรในภาคอีสานหลายจังหวัด ซึ่งมีสมาชิกกว่า 3 พันครัวเรือน และมีพื้นที่เพาะปลูกรวมกว่า 5 หมื่นไร่ จึงต้องวางโครงสร้างบริหารให้มีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง และมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยการบริหารงานภายในสหกรณ์จะมีคณะทำงานมีทีมบริหาร มีอิสระในการทำงาน แต่ตนจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษาให้สามารถดูแลตัวเองได้ และมุ่งสร้างวัฒนธรรมการถ้อยที่ถ้อยอาศัย ให้ตระหนักถึงการเติบโตและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขระหว่างสหกรณ์กับบริษัท โดยกลุ่มสหกรณ์ยังมีเงินออมเพื่อเป็นทุนในการบริหารจัดการและจัดหาปัจจัยการผลิตโดยไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐหรือกู้ยืมหนี้นอกระบบ

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถมั่นใจได้ว่า เมื่อเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทแล้วจะมีรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง ด้วยรูปแบบของ Supply Chain ของเกษตรพันธะสัญญา คือ สหกรณ์จะเป็นผู้ผลิตและจัดส่งข้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบมาจำหน่ายที่บริษัทเพียงเจ้าเดียว โดยแนวทางนี้บริษัทยึดหลักการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. 2560 ซึ่งมีหลักการในการนำระบบเกษตรพันธสัญญามาใช้ในกระบวนการผลิต ช่วยส่งเสริมและพัฒนาระบบ Supply Chain นี้ให้มีความเป็นธรรม พร้อมช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนเกิดความเชื่อมั่นนำไปสู่ความผูกพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น และสามารถเติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงได้

ใช้สื่อออนไลน์ขยายฐานลูกค้าและหาตลาดใหม่

ด้านการทำ Marketing ปัจจุบันบริษัทมีเว็บไซต์ https://www.k-organic.com/ เป็นแพลตฟอร์มสำหรับอัพเดตข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างตัวตนบนช่องทางออนไลน์และเชื่อมโยงกับลูกค้าในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ตนซึ่งอยู่ในฐานะผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านระบบการจัดการเกษตรอินทรีย์ยังมีการทำคอนเทนต์ให้ความรู้ถ่ายทอดไปยังช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, TikTok, Reels และ YouTube เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) โดยการให้ความรู้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้คนรู้จักบริษัทและให้ความสนใจสั่งซื้อสินค้าเป็นอย่างดี



จ่อขยายเครือข่ายและเพิ่มกำลังผลิตรับดีมานด์ตลาดโลก

ด้านทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต ตนมีแผนที่จะขยายพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์และเปิดรับสมาชิกเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติม พร้อมทั้งยังเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับกำกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีเพิ่มขึ้น ตลอดจนอัพเครื่องจักรในโรงสีข้าวให้สอดรับกับการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานคนได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

พร้อมกันนี้ ตนยังมองว่าในช่วงที่ผ่านมามีวิกฤติหลายอย่างเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม หรือโรคระบาด ที่ส่งผลให้เกิดกระทบต่อแหล่งผลิตอาหาร ทำให้ความต้องการด้านทรัพยากรอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในฐานะที่ขึ้นชื่อว่าแหล่งผลิตอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากมีความพร้อมในการป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดก็จะมีโอกาสสร้างรายได้และเติบโตอย่างแน่นอน



ฝากถึงผู้ประกอบการ SME ที่อยากประสบความสำเร็จ

ดร.รณวริทธิ์ กล่าวส่งท้ายว่า ผู้ประกอบการและ SME ต้องมีการสร้างคอนเนกชันทางธุรกิจ (Connection) หรือสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างให้มากทั้งในระดับ Supply Chain ที่เป็นเกษตรกรหรือผู้ป้อนวัตถุดิบ ตลอดจนผู้มีเกี่ยวข้องในทุกระดับ โดยต้องมีความจริงใจและเอาใจใส่ดูแลกันทั้งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตและช่วงสถานการณ์ปกติ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและเติบโตไปพร้อมกันได้

นอกจากนี้ ยังต้องแยกบัญชีให้ชัดเจนระหว่างเงินส่วนตัวและเงินทุนในกิจการ เพราะการนำเงินส่วนตัวมาปะปนกับเงินทุนในการประกอบธุรกิจ จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ทราบผลกำไรหรือรายได้ของที่แท้จริงของกิจการ เช่น การแยกบัญชีเงินส่วนตัว และบัญชีเงินทุนในกิจการที่ง่ายที่สุด คือ การกำหนดเงินเดือนให้ตนเอง แล้วจึงนำเงินเดือนไปใช้ในกิจส่วนตัว ซึ่งจะสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าส่วนไหนเป็นรายจ่าย ส่วนไหนเป็นรายรับของธุรกิจ เป็นต้น


ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ประธานบริษัท กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม จำกัด

จากแนวคิดของ ‘ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล’ ถือเป็นต้นแบบในธุรกิจทางการเกษตรที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการรวมกลุ่มและการประกอบอาชีพการผลิตข้าวให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการผลักดันให้เกิดเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ซึ่งมีความต้องการของตลาดสูงทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ ‘กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม’ เติบโตควบคู่กับสมาชิกเครือข่ายกว่า 3 พันครัวเรือนอย่างมั่นคง และยังส่งออกข้าวอินทรีย์ออกไปสู่ตลาดโลกอย่างน่าภาคภูมิใจ

รู้จัก ‘กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม’ เพิ่มเติมได้ที่
https://www.k-organic.com/
https://www.facebook.com/Kritsanakorn-Organic-Farm-CoLtd-1717064235197726

Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

ชูนวัตกรรม ขับเคลื่อน-ยกระดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้สู่ความยั่งยืน ด้วย Automation กลยุทธ์สู่ Smart Factory ระดับรางวัล The Prime Minister's Industry Award 2023 ของ 'ศรีวัฒนา วู้ดดิ้ง อินดัสทรีส์'

ชูนวัตกรรม ขับเคลื่อน-ยกระดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้สู่ความยั่งยืน ด้วย Automation กลยุทธ์สู่ Smart Factory ระดับรางวัล The Prime Minister's Industry Award 2023 ของ 'ศรีวัฒนา วู้ดดิ้ง อินดัสทรีส์'

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากการรุกคืบของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นำมาสู่การพัฒนา…
pin
328 | 30/04/2024
Business Model ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ โซล่าร์เซลล์มุ่งเน้นสร้าง "ธุรกิจยั่งยืน" ทำกำไร พร้อมสนับสนุนชุมชน-สังคม-สิ่งแวดล้อม

Business Model ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ โซล่าร์เซลล์มุ่งเน้นสร้าง "ธุรกิจยั่งยืน" ทำกำไร พร้อมสนับสนุนชุมชน-สังคม-สิ่งแวดล้อม

ภาพรวมตลาดสินค้า อะไหล่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและโซล่าร์เซลล์มีแนวโน้มเติบโตสูง คาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี จากปี 2566…
pin
326 | 29/04/2024
‘LED Farm’ โรงงานผลิตพืชด้วยหลอดไฟ ฟาร์มผักพันธุ์ใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพยุคดิจิทัล

‘LED Farm’ โรงงานผลิตพืชด้วยหลอดไฟ ฟาร์มผักพันธุ์ใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพยุคดิจิทัล

จากธุรกิจผลิตหลอดไฟ LED ต่อยอดสู่การพัฒนาด้านการผลิตอาหารและนวัตกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตรออร์แกนิก แบรนด์ ‘แอลอีดี ฟาร์ม’ (LED Farm) ที่มุ่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรคุณภาพ…
pin
666 | 25/04/2024
‘กฤษณกรณ์ออร์กานิคฟาร์ม’ จากวิสาหกิจชุมชน ยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลกด้วยเกษตรอินทรีย์