รัฐบาลไทยตั้งเป้าเลิกใช้ถุงพลาติกถาวรในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเริ่มรณรงค์ลดใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 และปฏิบัติอย่างจริงจังมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 จนกลายเป็นกระแสให้ผู้คนออกมาขานรับนโยบายกันถ้วนหน้า จากปัญหาด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกตื่นตัวและหันมาให้ความสนใจกันอย่างจริงจัง ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการรายงานว่า ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากเป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นปริมาณขยะพลาสติกประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปี ขยะพลาสติกที่พบมากสุดในทะเล ได้แก่ ถุง,หลอด,ฝาพลาสติก และ ภาชนะบรรจุหุ้มห่ออาหาร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พลาสติกหายไป ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบอะไร
จากการประกาศงดใช้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า
ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ ที่มีสาขารวมกว่า 24,500 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา โรงงานผลิตถุงพลาสติกขนาดเล็กและ
SMEs หลายรายได้รับผลกระทบในทันที จากออร์เดอร์ที่หายไปของผู้ค้าปลีกรายใหญ่
โรงงานจึงส่อแว่วเจ๊งเตรียมปิดโรงงาน ลอยแพแรงงาน จากมาตราการของภาครัฐที่ออกมาบังคับใช้ภายในระยะเวลาไม่ถึง
60 วัน ทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน โรงงานผู้ผลิตถุงพลาสติกรายเล็กส่อเค้าปิดกิจการกว่า
400 แห่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานภาคการผลิตอีกกว่า 7,000
คนทั่วประเทศ
นายสมชัย เตชะพานิชกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย เปิดเผยว่า “การเร่งโรดแมปให้เร็วขึ้น
2 ปี กระทบกับผู้ประกอบการโรงงาน
โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่ปรับตัวไม่ทัน เบื้องต้นคาดว่าส่งผลกระทบประมาณ 50
โรง จากที่มีโรงงานผลิตพลาสติกทั่วประเทศที่มีประมาณ 400-500
โรงงาน และอาจต้องทยอยปิดโรงงานและเลิกจ้างงาน 7,000-8,000 คน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี”
ทั้งนี้ ฝั่งผู้ประกอบการได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐเยียวยาจ่ายค่าชดเชยตามความเหมาะสม
เนื่องจากเครื่องเป่าถุงพลาสติกที่มีนั้นไม่สามารถนำไปใช้ผลิตสิ่งอื่นหรือขายต่อได้
เพราะหากยังอยู่ในกระแสไร้ถุงพลาสติกแบบนี้คงไม่มีใครซื้อ รวมไปถึงจ่ายค่าชดเชยความเสียหายจากวัตถุดิบ
เช่น เม็ดพลาสติก-เม็ดสี-หมึกพิมพ์ ค้างสต๊อกเคลียร์ไม่ทัน
สำหรับกรณีต้องเลิกจ้างแรงงานตามกฎหมายแรงงานเต็ม
100% เพื่อเป็นแนวทางเยียวยาภาคการผลิตที่ปิดตัวลง
ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าหากรัฐบาลประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติก 4 ชนิดแบบเต็มขั้นในปี พ.ศ.2565 จะมีแรงงานกว่า
4 หมื่นชีวิตถูกลอยแพ รวมถึงชีวิตนักศึกษาวิศวปิโตรเคมีอีกหลายพันชีวิตที่จะตกอยู่ในสภาวะว่างงานหากโรงงานภาคการผลิตถุงพลาสติกปิดตัวลง
โรงงานฝั่งผู้ผลิตจะปรับตัวอย่างไร
ในเมื่อโลกตื่นตัวกับขยะพลาสติกและมลพิษที่เกิดขึ้น
โรงงานขนาดใหญ่ และ SMEs ที่ต้องประคองตัวเองให้ผ่านไปได้จำต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
เพราะแม้จะมีการประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติกชนิดหิ้วและอีก 4 ชนิดในอนาคตอันใกล้
แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เรายังไม่สามารถตัดขาดจากการเลิกใช้พลาสติกได้ 100%
เพราะยังไม่มีวัสดุอื่นมาแทนที่ ยังคงมีบางภาคส่วนที่จำเป็นต้องใช้พลาสติกอยู่
ทั้งนี้ผู้ประกอบการจำต้องปรับตัว โดยมีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้แนวทางไว้ดังนี้
1. ปรับเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นใกล้เคียงแทนการผลิตถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง
เช่น ทำแพ็คเกจจิ้ง ถุงขยะ ฯลฯ
2. ป้อนเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเข้าสู่กระบวนการผลิตถุงพลาสติกมากขึ้น
เพื่อผลิตถุงพลาสติกแบบรีไซเคิลได้แทน
3. ใช้แม่พิมพ์เดิมในการผลิตถุงพลาสติกแบบเดิม
แต่เปลี่ยนเป็นการผลิตถุงคุณภาพสูงแบบ multiple use แทน single use
4. หันมาผลิตบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่สามารถย่อยสลายได้
อย่าง Bioplastic แทนการผลิตพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง
ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
5. ปรับการผลิตไปตามเทรนด์ จากที่เคยใช้เม็ดพลาสติกในการผลิต ก็ปรับเป็นการนำวัสดุธรรมชาติอื่นๆ เช่น ใช้สาหร่ายทะเล แป้งจากพืช ใบไม้ มาประยุกต์ใช้ใมอุตสาหกรรมภาคการผลิตแทน
ทั้งนี้ภายในปี
พ.ศ.2565 หรือ อีก 2 ข้างหน้าจะมีการยุติใช้พลาสติกแบบเต็มรูปแบบ และเน้นการใช้งานพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ใหม่หลายครั้ง
รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามเทรนด์รักษ์โลกที่กำลังมาแรง และคาดว่าจะโหมโรงต่อไปอย่างต่อเนื่อง
กับการเข้ามากำกับอย่างจริงจังของภาครัฐและการให้ความร่วมมือของภาคเอกชน
รวมถึงการปรับตัวของประชาชนที่ไม่เมินเฉยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งอีก 2 ปีข้างหน้านี้จึงเป็น deadline ที่ผู้ประกอบการจะปรับตัวหันมาผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เพื่อร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งที่มนุษย์เราทำร้ายโลกมายาวนาน
ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปในจุดเริ่มต้น ถุงพลาสติกคือ นวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ในการช่วยรักษ์โลก ลดการใช้ถุงกระดาษ ลดการตัดไม้ เพราะพกพาง่าย น้ำหนักเบา มีความทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้บ่อยครั้งตามต้องการแท้ๆ เชียว แต่บริบททางสังคมเปลี่ยนไป เมืองขยาย ถุงพลาสติกถูกนำมาใช้จนมากมายกลายเป็นขยะล้นโลก และสุดท้ายพลาสติกกลายเป็นจำเลยของสังคมโลกไปในที่สุด