นับเป็นเวลากว่า 3 ปี ที่สหราชอาณาจักร
(อังกฤษ) ดำเนินการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือ Brexit
ได้สำเร็จตามที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2559
จนถึงค่ำคืนวันที่ 31 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันอังกฤษสามารถทำได้สำเร็จ
โดยจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2563 จะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 11 เดือน
ที่อังกฤษจะยังคงอยู่ภายใต้กฎระเบียบของอียูแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงใดๆ
โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องเร่งเจรจาจัดทำความตกลงทั้งด้านการค้าไปจนถึงความมั่นคง เพื่อให้การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่สะดุดเมื่อ UK ออกจาก EU อย่างสมบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2564
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า กรณีที่ UKออกจากการเป็นสมาชิก EU (เบร็กซิท)
ไม่ส่งผลกระทบต่อไทย แต่อาจมีเพียงความผันผวนอ่อนค่าลงของเงินปอนด์
ส่วนการค้าระหว่างอังกฤษกับประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยจะยังคงดำเนินไปได้ตามปกติ
ภายใต้กฎระเบียบการค้าเดิมเสมือนว่ายังอยู่กับอียูไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2563
ทั้งนี้ไทยให้ความสำคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับอังกฤษ
ในฐานะคู่ค้ารายสำคัญอันดับที่ 21 ของไทย หรือเป็นอันดับที่ 2 ในอียูรองจากเยอรมนี
ซึ่งมีมูลค่าการค้ากับไทยปี 2562 อยู่ที่ 6,260 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยไทยได้ดุลการค้า 1,426 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดังนั้นไทยและอังกฤษเตรียมจัดทำรายงานการศึกษานโยบายการค้าระหว่างกัน เพื่อปูทางไปสู่การจัดทำเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคต
อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างนี้
อังกฤษจะหารือกับอียูเพื่อเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งกรมฯ
จะติดตามผลการหารือนี้อย่างใกล้ชิดว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร และจะมีผลกระทบหรือสร้างโอกาสทางการค้ากับไทยมากน้อยเพียงใด
โดยเฉพาะการเจรจากับทั้งอียูเเละอังกฤษ เรื่องการแก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก
(WTO)
สำหรับโควตาสินค้าจำนวน 31 รายการอาทิ มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง
ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลากระป๋อง เป็นต้น
ที่ไทยเคยได้รับโควตาจากอียู
เเละจะต้องมีการจัดสรรเเบ่งโควตาใหม่ภายหลังออกจากอียู (เบร็กซิท)
เป้าหมายเบื้องต้นในการรักษาผลประโยชน์ของไทยให้ได้รับปริมาณโควตารวม
(ที่ทั้งอียูและอังกฤษจะต้องจัดสรรโควตาให้ไทยใหม่) ไม่น้อยกว่าที่ไทยเคยได้รับเมื่อตอนที่ยูเคยังเป็นสมาชิกอียู
รวมทั้งสะท้อนปริมาณการค้าจริงระหว่างไทยกับอียู 27 ประเทศ และอังกฤษให้มากที่สุด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวในฝั่งอังกฤษ ล่าสุด นาย
David
Frost หัวหน้าทีมเจรจา Brexit ของสหราชอาณาจักร กล่าวในที่ประชุมของ EU ว่าทางสหราชอาณาจักรต้องการทำความตกลงการค้าเสรีกับ
EU รูปแบบเดียวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่าง EU กับ แคนาดา (Canada Free Trade Agreement) ญี่ปุ่น
และเกาหลีใต้ ที่มีการยกเลิกการเก็บภาษีสินค้าเกือบทุกรายการ
โดยที่ประเทศเหล่านี้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฏของ
EU
ซึ่งหากสหราชอาณาจักรไม่สามารถทำความตกลงรูปแบบดังกล่าวกับ EU
ได้ ทางสหราชอาณาจักรก็พร้อมที่จะทำการค้ากับ EU รูปแบบ "Australia Style Terms" คือ
ดำเนินการค้าภายใต้กฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO)
ประเด็นนี้ นาย Michel
Barnier หัวหน้าทีมเจรจาของ EU ให้สัมภาษณ์ว่า สหราชอาณาจักรไม่สามารถทำความตกลงทางการค้ารูปแบบเดียวกับแคนาดา
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้ เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของสหราชอาณาจักรที่ใกล้กับ
EU และความสัมพันธ์ทางการค้าที่พิเศษระหว่างสหราชอาณาจักรและ
EU นั้น
จึงไม่สามารถตกลงในลักษณะเดียวกับประเทศที่อยู่ไกลออกไปได้ แต่อย่างไรก็ดี EU
พร้อมที่จะเสนอข้อตกลงทางการค้าที่ดีและเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่ายให้กับสหราชอาณาจักร
ตามมุมมองนักวิเคราะห์จากรายงานของบีบีซี ประเมินว่าผลจาก Brexit ทำให้สหราชอาณาจักร และ EU กลายเป็นเสมือนทั้งพันธมิตรและคู่แข่งทางการค้า ดังนั้น EU จึงต้องการให้มีกฏระเบียบควบคุมที่เท่าเทียมกัน ได้แก่มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิลูกจ้าง และการช่วยเหลือของรัฐบาลต่อภาคธุรกิจ (State Aid)
หลังจากนี้ผู้ส่งออกไทยต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสหราชอาณาจักร และ EU มีกำหนดเจรจาความตกลงทางการค้าในเดือนมีนาคม 2563 นี้ ถึงท่าทีของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจุดยืนอังกฤษในการเจรจากับ EU ต้องการหลุดพ้นไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของอียูโดยสามารถออกกฏหมายต่างๆ ที่เหมาะสม หากไม่สามารถเดินหน้าการเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับอียูในลักษณะเดียวกับแคนาดาได้ อังกฤษส่งสัญญานว่าจะดำเนินการค้ากับ EU ภายใต้กฎระเบียบของ WTO ซึ่งหมายความว่าจะมีอัตราภาษีสินค้าที่สูง นับว่าการเจรจาครั้งนี้ท้าทายมากที่จะปิดดีลให้ทัน 31 ธันวาคม 2563