เรื่องราวของอดีตเด็กหนุ่มที่บ้านล้มละลายแต่ไม่ยอมแพ้โชคชะตาจนวันนี้ธุรกิจที่เขาสร้างมากับมือมีรายได้มากกว่าพันล้านบาท “วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด เป็นผู้เล่นหน้าใหม่สัญชาติไทยในอุตสาหกรรม “เสื้อผ้ากีฬา” ซึ่งเขามองเห็นโอกาสของตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือ “นิชมาร์เก็ต”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เริ่มจากวิศัลย์ได้เล็งเห็นเส้นทางการเติบโตของฟุตบอลไทยลีกที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นานน่าจะมีอนาคตสดใส
เห็นทิศทางการเติบโตและยังไม่มีใครเข้ามาผูกขาดตลาดชุดกีฬาอย่างจริงๆจังๆเนื่องจากยังเป็นของใหม่
หากวอริกซ์สามารถรุกเข้าตลาดในห้วงเวลานี้ก็มีโอกาสเติบโตได้เช่นกัน
จุดเริ่มทางการตลาดเริ่มต้นด้วยการใช้
“กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง” คือ
เริ่มจากการที่เข้าไปเป็นสปอนเซอร์ผลิตและจำหน่ายเสื้อกีฬาให้กับทีมสโมสรฟุตบอลในต่างจังหวัดกว่า
20 ทีมก่อนเนื่องจากใช้ทุนไม่มากแต่ได้ผลคุ้มค่า
ทำให้ปัจจุบันบริษัทวอริกซ์เป็นเจ้าของสิทธิ์ในการผลิตเสื้อทีมสโมสรฟุตบอลที่มากที่สุดในประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
ทีมแรกที่กลุ่มผู้บริหารเล็งเห็นโอกาสคือทีม “นครราชสีมา เอฟซี”ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในลีกสูงสุดยังอยู่ในลีกระดับกลางๆแต่สิ่งที่พิเศษนั่นคือ
นครราชสีมาหรือโคราชเป็นจังหวัดใหญ่มีประชากรมากเป็นอันดับ2ของประเทศ
คนโคราชเป็นคนที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอล แม้จะอันดับของทีมจะอยู่ระดับกลางๆก็ตามแต่ทุกครั้งที่ทีมลงแข่งขันจะมีแฟนๆ
ตามไปเชียร์ระดับหมื่นคนเกือบทุกนัด
ด้วยสายตามแหลมคมทีมผู้บริหารวอริกซ์จึงเข้าไปเจรจาขอเป็นสปอนเซอร์ให้กับนครราชสีมาทันที
นี่คือจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง
จนมาสู่จุดสูงจุดคือ การที่บริษัทวอริกซ์ชนะการประมูลผลิตและจำหน่ายเสื้อฟุตบอลของทีมชาติไทย
โดยได้สิทธิ์ตั้งแต่ปี 2560-2563 เป็นค่าลิขสิทธิ์ปีละ 100 ล้านบาท รวม 4 ปี
มูลค่า 400 ล้านบาทมีผลทำให้แบรนด์วอริกซ์เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญการชนะประมูลเสื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติไทย
ทำให้รายได้ของวอริกซ์เติบโตแบบก้าวกระโดด
จนตอนนี้เสื้อทีมชาติไทยแบรนด์วอริกซ์สามารถทำยอดขายได้กว่า 4 ล้านตัวต่อปีเลยทีเดียว ตรงนี้ทำให้เป็นบันไดจากแบรนด์ไทยที่ชื่อวาริกซ์ค่อยๆ
ก้าวเดินขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นเเบรนด์ระดับเอเชียและอาจจะแอบฝันเล็กๆว่าสักวันอาจจะไปเป็นสปอนเซอร์ทีมระดับโลกเลยก็ได้
นอกจากนี้ วอริกซ์ยังยกระดับขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดต่างประเทศด้วยรูปแบบต่างๆทั้งในลักษณะของการซื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติ สโมสรกีฬาต่างๆ รวมถึงการได้ Distribution Centers ในประเทศต่างๆอีกด้วยโดยสามารถคว้าสิทธิ์ผลิตชุดทีมชาติเมียนมาด้วยระยะเวลา 6 ปี รวมถึงกำลังรอผลการพิจารณาจากสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียส่วนในมาเลเซียก็ได้ทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นที่ตลาดฟุตซอลเป็นหลักเรียกว่าในตอนนี้ก็ครอบคลุมประเทศต่างๆในอาเซียนทั้งสิงคโปร์ เมียนมา มาเลเซีย และยังคงมองหาศูนย์การกระจายสินค้าในประเทศอื่นๆ
มุ่งขยายตลาดให้ครอบคลุม
แต่ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของช่องทางจัดจำหน่ายน่าจะอยู่ที่ช่องทางออนไลน์ที่สร้างการเติบโตให้กับวอริกซ์ได้อย่างต่อเนื่อง
จนทำให้มีการขยับงบประมาณด้านการตลาดสำหรับช่องทางออนไลน์ขึ้นมาเป็นแกนหลัก
เนื่องจากได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ทั้งช่องทางของแบรนด์เองรวมถึงช่องทาง
อี-คอมเมิร์ช ต่างๆในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีหน้าร้านมากกว่า 400 ร้าน ทั้งในและต่างประเทศ
มีรูปแบบของค้าปลีกเกิดขึ้นมากมายสร้างเป็นโมเดลการขายรูปแบบใหม่ๆ
ที่สามารถบุกตลาดได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ โปรเจ็กที่ขายงานในลักษณะของการสั่งทำ
เช่น เสื้องานวิ่งต่างๆ เป็นต้น
ในเชิงกลยุทธ์นั้นวอริกซ์ได้วางเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือการเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดระดับเอเชีย โดยค่อยๆ รุกคืบออกสู่ต่างประเทศทีละน้อยๆ ไปเรื่อยๆ ทั้งหมดเป็นการวางกลยุทธ์ของวอริกซ์ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ สร้างสินค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างโอกาสจากการมองหาตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ สร้างช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลากหลาย
ไม่น่าเชื่อธุรกิจที่เริ่มต้นจากห้องแถวเล็กๆมีจักรเย็บผ้าไม่กี่ตัวจะมีรายได้รวมมากกว่า
1,000 ล้านบาทอย่างไรก็ตามคาดว่าภายในอีก 5 ปีต่อจากนี้ วอริกซ์จะมียอดขายรวมประมาณ 2,000ล้านบาทขึ้นไปเป็นผู้นำตลาด
1 ใน 3 แบรนด์ใหญ่ของตลาดเสื้อกีฬาพร้อมกับปูทางระดมทุนเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ต่อไปในอนาคต
เรื่องราวของวอริกซ์จึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจและเป็นกรณีศึกษาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ได้เรียนรู้กลยุทธ์ในการทำตลาดได้เป็นอย่างดี
ภาพ : facebook Warrix
แกะรอย OEM ไทยผลิตเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์ดังระดับโลก
ลงทุนธุรกิจฟิตเนส กำไรงามจริงหรือ?