บรรดา SMEs หรือแม้แต่ Startup มักคิดว่า ‘ยิ่งทุนหนาเท่าไร ยิ่งดี’ เพราะโอกาสที่จะไปรุ่งน่าจะมีมากกว่า ก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะข่าวร้ายคือ ทุนเป็นฟ่อนๆ ไม่ได้รับประกันถึงความสำเร็จ แต่ การลงทุนในธุรกิจ ที่เหมาะสม ในจังหวะเวลาที่ลงตัว และมีการใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาดต่างหาก ที่เรียกได้ว่าสำคัญอย่างแท้จริง ดังนั้นมาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ธุรกิจไปไม่รอด ทั้งที่มีทุนรอนเป็นฟ่อนนั้น มีอะไรบ้าง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตลาดอิ่มตัว
ถ้าธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเกิดได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคขึ้นมา อาจเรียกความสนใจจากบรรดานักลงทุนใจป้ำที่เทเงินเพื่อทำธุรกิจชนิดหมดกระเป๋า ผลก็คือผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทเดียวกันที่ล้นตลาด และแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย แถมยังไม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทที่เปิดตัวเพื่อทำอะไรไปตามกระแส และไม่สามารถสร้างความต่างให้ธุรกิจของตัวเองได้ จึงไปไม่ค่อยรอดเสียส่วนใหญ่
นอกจากนั้น การที่เงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อาจทำให้ SMEs หรือ Startup น้องใหม่ชะล่าใจ และหลงลืมที่จะใส่ใจลูกค้า ซึ่งทันทีที่ลูกค้าถูกมองข้าม ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่ มีเงินทุนไม่มากนักในช่วงแรกๆ แต่เจ้าของกิจการทำงานอย่างหนักเพื่อปรับรูปแบบธุรกิจ และสำรวจความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์แล้วปรับสินค้าหรือบริการให้สอดรับกับการใช้งานของลูกค้า จะสามารถช่วยได้มากในการนำพาธุรกิจไปถึงฝั่งฝัน
ให้ค่ามากเกินไป
กรณีศึกษาที่ฮือฮามากในต่างประเทศ คือบริษัท Jawbone แห่งซานฟรานซิสโก ซึ่งมีเงินเหลือเฟือในการต่อกรกับทุกบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์สวมใส่สำหรับติดตามสุขภาพ เพราะกองทุนเพื่อการลงทุนชื่อดังระดับโลกพากันเทกระเป๋าให้ จนดันมูลค่าของบริษัทให้ขึ้นถึง 3,200 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2557
แต่ท้ายที่สุดเงินทั้งหมดไม่สามารถช่วยอะไร Jawbone ได้ จนต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายเมื่อปี 2560 เพราะไม่สามารถเจาะตลาดได้ แถมถูกฟ้องจากบรรดาร้านค้าว่าติดหนี้อยู่หลายแสนดอลลาร์
กรณีของ Jawbone ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่อันดับสองในแง่ของสตาร์ทอัพที่สามารถระดมทุนได้มากมายจากกองทุนเพื่อการลงทุน แน่นอนว่าการล้มเหลวของสตาร์ทอัพไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่บริษัทมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์และระดมทุนได้กว่า 900 ล้านดอลลาร์ ไม่สามารถไปต่อได้นั้น จัดเป็นเคสที่ไม่พบเจอบ่อยนัก
กรณีนี้สะท้อนว่ามูลค่าของบริษัทถูกนำไปผูกกับเม็ดเงินที่ระดมทุนมาได้ มากกว่ารายได้และกำไรที่แท้จริงของบริษัท
นอกจากนั้น แน่นอนว่าการมีทุนหนาช่วยให้อุ่นใจ แต่สิ่งสำคัญคือเจ้าของกิจการต้องไม่ลืมเป้าหมายทางธุรกิจ และหากมีบางสิ่งที่ไม่เวิร์ก ก็อย่าถมเงินลงไปด้วยความหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แทนที่จะลงไปประเมินว่าประเด็นไหนที่เป็นปัญหาแล้วลงมือแก้ไข โดยในกรณีของ Jawbone นั้น ตลาดอุปกรณ์สวมใส่เพื่อติดตามสุขภาพ ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันดุเดือดเพราะคู่แข่งล้วนแล้วแต่ระดับบิ๊ก อย่าง Fitbit, Samsung และ Apple ดังนั้นหากไม่มีจุดแข็งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าทุนจะหนาแค่ไหน ก็ตกที่นั่งลำบาก
ใช้เงินไม่ถูกจุด
ทุนหนาๆ มักนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างเหวี่ยงแห ไม่ตรงจุด แถมยังละเลยเรื่องของวินัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ เช่น อยู่ๆ นึกจะตกแต่งออฟฟิศหรือทำโฆษณาแบบจัดเต็ม ก็เทเงินลงไป แต่กลับไม่ค่อยสนใจเรื่องพื้นๆ ทางธุรกิจ อย่างการพัฒนาสินค้าและการดูแลลูกค้า หรืออาจทุนหนามากจนเทคโนโลยีใหม่เปิดตัวทีไร ก็กระโจนลงตลาด ทั้งที่สินค้าหรือบริการเดิมที่เปิดตัวไป ยังไม่ติดตลาดเลย
หากใช้เงินแบบหว่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีโฟกัส ทุนก็จะร่อยหรอลงในที่สุด และยามใดเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมา จะเจอปัญหาของจริง เพราะจะมีเงินเหลือไว้ใช้ยามหน้าสิ่วหน้าขวานไม่มากนัก
ท้ายสุดแล้ว ไม่ว่าจะมีทุนรอนมากขนาดไหน ก็คงไม่สามารถนำพาบริษัทไปได้ไกล หากปราศจากทิศทางที่ชัดเจน เพราะนอกจากไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังจะถูกคู่แข่งทิ้งไว้ข้างหลังอีกต่างหาก