การสอนให้เด็กรู้ค่าของเงินและมีความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งสำคัญ
โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวและตัวเด็กเองในอนาคต เรื่องเงินๆ ทองๆ
ไม่จำเป็นต้องซีเรียสเสมอไป แต่อาจกลายเป็นเรื่องสนุกได้ หากรู้จักใช้สถานการณ์ต่างๆ
ไม่เว้นแม้แต่ตอนไปตลาดมาสอนลูกตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน
พอโตขึ้นมาในระดับมัธยมไปจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย
เป็นวัยที่จะมีการพัฒนาหลักการด้านเหตุผลและสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลพวงของสิ่งต่างๆ
อันเปิดโอกาสให้พ่อแม่สามารถคุยกับลูกได้เรื่องบัตรเครดิต ดอกเบี้ย
การทำรายรับ-รายจ่าย รวมถึงหนี้สิน
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่ผู้บริโภคตัวน้อยก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับหนี้สินไว้บ้าง เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในวังวนของการก่อหนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
คนเป็นผู้ใหญ่ทราบดีว่าเครดิตหรือสินเชื่อ
ไม่ได้แจกฟรี สำหรับเด็กนั้นก็ต้องเข้าใจว่าการกู้ยืมเงินไม่ได้ง่ายเหมือนการขอยืมปากกาเพื่อน
โดยพ่อแม่อาจแจกแจงให้ลูกรู้ว่าหนี้แบบไหนบ้างที่อาจพบเจอตอนโตขึ้น อย่าง
“หนี้จากการใช้จ่าย” ที่เกิดขึ้นเมื่อไปซื้อของด้วยเงินที่ยืมมาก่อน เช่น รูดบัตรเครดิตตอนซื้อเสื้อผ้า-ซื้อแกดเจ็ต, ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือ
“หนี้จากการลงทุน”
ที่เกิดขึ้นตอนซื้อของที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปด้วยเงินที่ยืมมา
อย่างซื้อบ้าน หรือกู้เงินมาทำธุรกิจ โดยการยืมเงินในทั้งสองกรณี
ต้องใช้คืนและอาจพ่วงดอกเบี้ยไปด้วย
ความซับซ้อนจะบังเกิดเมื่อมีการลงรายละเอียด
บางคนมองว่าหนี้จากการใช้จ่ายเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้
อย่างหนี้ที่เกิดจากการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายเกินตัว
ส่วนหนี้จากการลงทุนเป็นหนี้ดี หมายถึงหนี้สร้างรายได้ เช่น กู้เงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า
หรือกู้เงินเพื่อซื้อบ้านในราคาที่สมเหตุสมผล แต่หนี้สินก็คือหนี้สิน
หากไม่บริหารจัดการอย่างถูกต้อง จ่ายเงินไม่ครบตามกำหนด ชีวิตอาจอับเฉาได้ ดังนั้น
จึงควรแนะลูกให้รู้จักใช้เงินอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น :
1. คิดให้ดีก่อนยืมเงิน
เพราะหนี้ทุกอย่างมีความเสี่ยง คนจำนวนมากสร้างหนี้โดยไม่เข้าใจความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน
ก่อนก่อหนี้จึงต้องคิดให้รอบคอบว่าสิ่งที่ได้มานั้นคุ้มค่ากันและไม่เป็นภาระมากเกินไป
เนื่องจากหากล่าช้าในการคืนเงินหรือจ่ายคืนไม่เต็มจำนวน
หนี้สินก็จะมีแต่ทบต้นทบดอกไปเรื่อยๆ ดังนั้นก่อนก่อหนี้หรือไปยืมเงินใคร
ควรถามตัวเองว่า
-ทำไมต้องยืมเงิน ยืมไปเพื่อซื้อของจำเป็นหรือแค่ของที่อยากได้
การแยกให้ออกระหว่างของที่ “จำเป็น” กับของที่ “อยากได้” เป็นสิ่งสำคัญมาก
-อยากได้ของชิ้นนั้นตอนนี้เลยเหรอ
หรือจะอดใจไว้ซื้อวันหลังตอนเก็บเงินได้ครบจำนวน
คำถามนี้จะช่วยให้ลูกรู้จับยับยั้งชั่งใจและประเมินแผนการในอนาคตว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
-ถ้าซื้อของนี้แล้วจะยังมีเงินเหลือพอซื้อหรือทำอย่างอื่น
และใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการรึเปล่า
-พอยืมเงินแล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะใช้คืนหมด และคุ้มค่ากันมั้ย
-อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไม่มีเงินคืนเขา
2. อธิบายเกี่ยวกับบัตรเครดิต
ลูกที่ย่างเข้าวัยรุ่นคงพอระแคะระคายว่าถ้าใช้บัตรเครดิตอย่างไม่ระวังอาจต้องจ่ายดอกเบี้ย
แต่บัตรเครดิตช่างมีความยั่วยวน ดังนั้นด่านแรกในการสะกิดลูก
คือให้อ่านเงื่อนไขสำหรับการสมัครบัตรให้ฟังดังๆ
โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมตอนจ่ายเงินช้า
อันจะทำให้ลูกได้ทราบข้อมูลจากผู้ออกบัตรโดยตรง ไม่ใช่จากปากพ่อแม่ที่พร่ำบอก
นอกจากนั้น
อาจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บัตร โดยเฉพาะวงเงิน
ว่าไม่จำเป็นต้องรูดบัตรจนเต็มวงเงิน
เหมือนตอนไปร้านขนมที่ลูกไม่จำเป็นต้องซื้อหรือกินขนมหมดทั้งร้าน
เพราะถ้าเห็นอะไรก็น่าอร่อยไปหมดและหยิบทุกอย่างเข้าปากคงท้องแตกตาย
เหมือนการรูดข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นจนเต็มวงเงิน แต่ไม่มีเงินจ่าย
สุดท้ายต้องเสียค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยสูงลิ่ว และไปๆ มาๆ
อาจต้องมานั่งจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น
3. ใช้ประสบการณ์จริง
หากพ่อแม่มีประสบการณ์ตรงของการเป็นหนี้
อย่าอายที่จะคุยกับลูกเรื่องนี้
เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ก่อความผิดพลาดทำนองเดียวกันเมื่อโตขึ้น โดยอาจบอกลูกว่า
“พ่อกับแม่หมุนเงินไม่ทัน เพราะเดือนนี้หมดเงินไปกับการซื้อของมากเกินไป
ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด แต่เรากำลังแก้ปัญหากันอยู่ และอยากให้ลูกช่วยด้วย”
จากนั้นก็คุยกับลูกว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนไหนได้บ้าง
ก่อนขยายไปคุยเรื่องวิธีใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล
โดยอาจกำหนดเป้าหมายหรืองบประมาณของสมาชิกในครอบครัว
4. ให้ลูกทำรายรับ-รายจ่าย
การสอนให้ลูกรู้จักใช้เงิน
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างมีความรับผิดชอบ
เด็กสมัยนี้อยู่หน้าจอโทรศัพท์แทบจะทั้งวันอยู่แล้ว
ดังนั้นก็อาจให้ลูกติดตั้งแอปรายรับ-รายจ่าย เพื่อสร้างนิสัยบริหารจัดการรายรับ-รายจ่ายของตัวเองไม่ว่าจะให้ค่าขนมลูกกี่บาทก็ตาม
เพราะเท่ากับปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้ถึงความสำคัญของการวางแผนใช้เงิน
รวมถึงการเก็บเงิน โดยอาจพาลูกไปเปิดบัญชีธนาคาร
ลูกจะตื่นเต้นเมื่อออมเงินแล้วได้ดอกเบี้ยด้วย
นอกจากนั้น หากลูกอยากได้สิ่งของอะไรเป็นพิเศษแต่เงินไม่พอ ก็อาจช่วยลูกหางานทำตอนปิดเทอม เพื่อสอนให้ลูกรู้จักทำงานหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ดีกว่าไปยืมเงินคนอื่น ทั้งยังปลูกฝังให้ลูกเห็นคุณค่าในสิ่งต่างๆ ที่กว่าจะได้มาก็ต้องใช้แรงกายเข้าแลก ซึ่งอย่างหลังนี้สำคัญมากในยุคที่แทบเล็ตและสมาร์ทโฟนกลายเป็น “ของเล่น” ที่เด็กๆ อยากมีไว้ในครอบครอง
เมื่อลูกมีความรู้พื้นฐานด้านการเงิน รวมถึงหนี้สินแล้ว การที่พ่อแม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกๆ ได้เห็น มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นมาพร้อมกับรู้จักใช้จ่ายอย่างมีความรับผิดชอบ ชั่งตวงวัดข้อดี-ข้อเสียก่อนการตัดสินใจสำคัญๆ และสามารถดูแลตัวเอง รวมถึงผู้อื่นได้ในอนาคต